บทที่ 601 : ของขวัญจากเหล่ากุ่ย!
ฉินตงเฉี่ยไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่นางรู้ออกมาแต่หลิงหยุนนั้นมั่นใจว่าเหล่ากุ่ยคงต้องบอกบางสิ่งบางอย่างกับนางบ้างแล้ว เพียงแต่นางไม่ต้องการบอกกับเขา
และหลิงหยุนก็คาดเดาได้ถูกต้องในมุมของเหล่ากุ่ยนั้น ในเมื่อฉินจิวยื่อไม่อยู่ ฉินตงเฉี่วยซึ่งเป็นน้องสาวของนาง จึงเป็นเพียงญาติผู้ใหญ่คนเดียวของหลิงหยุนในเวลานี้
เหล่ากุ่ยมาพบหลิงหยุนในครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งให้พาหลิงหยุนกลับไปเมืองหลวงเพื่อให้หลิงหยุนได้ทำความรู้จักกับตระกูลหลิงซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่แท้จริงของตนเอง หากเขาไม่บอกกล่าวฉินตงเฉี่วยในเรื่องของหลิงหยุน ก็คงเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล และไร้มารยาทสิ้นดี
ไม่เพียงตระกูลฉินจะเป็นตระกูลใหญ่ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหลิงต่อให้ผู้ที่นำหลิงหยุนไปเลี้ยงดูเป็นครอบครัวของคนธรรมดาก็ตาม การที่จะนำตัวหลิงหยุนกลับไปหาครอบครัวที่แท้จริง ก็ยังต้องบอกกล่าว และได้รับความยินยอมจากญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูเขาเสียก่อน!
ดังนั้น..เพื่อไม่ให้ฉินตงเฉี่วยเข้าใจผิด และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นในภายภาคหน้า เมื่อเหล่ากุ่ยมาพบหลิงหยุนที่บ้านในตอนเช้า เขาจึงได้แจ้งฐานะและจุดประสงค์ของตนเองให้ฉินตงเฉี่วยทราบอย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้เหล่ากุ่ยไม่สามารถพูดต่อหน้าคนอื่นๆได้ เขาและฉินตงเฉี่วยจึงได้ออกไปคุยกันนอกบ้าน และใช้กระแสจิตพูดคุยกันโดยที่บุคลลที่สามไม่สามารถได้ยินได้
ผลของการพูดคุยกันส่วนตัวของทั้งสองคนเหล่ากุ่ยพึงพอใจอย่างมาก และฉินตงเฉี่วยก็พอใจอย่างมากเช่นกัน ตราบใดที่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าหลิงหยุนเป็นสายเลือดของตระกูลหลิงจริง และตัวหลิงหยุนเองก็ยอมรับ อีกทั้งยังสมัครใจที่จะไปทำความรู้จักกับครอบครัวที่แท้จริง ฉินตงเฉี่วยก็จะไม่ห้าม ทุกอย่างนางจะปล่อยให้หลิงหยุนเป็นผู้ตัดสินใจเอง..
เมื่อคิดว่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตนเองกำลังจะถูกเปิดเผยในเร็ววันนี้หลิงหยุนก็รู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจอธิบายได้ และเกิดความกระวนกระวายใจใคร่รู้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
‘นาย..เอ่อ.. พ่อหนุ่ม..’
หลิงหยุนนึกขึ้นมาได้ว่า..ทุกครั้งที่เหล่ากุ่ยเรียกเขานั้น เหล่ากุ่ยมักจะเผลอพูดคำว่า ‘นาย.. ’ แล้วก็รีบหยุดกลางคัน และเปลี่ยนมาเรียกเขาว่า ‘พ่อหนุ่ม’ หรือว่า ‘หลิงหยุน’ แทน
เมื่อก่อนหลิงหยุนไม่ได้คิดเอะใจเรื่องนี้จริงจังแต่ตอนนี้หลิงหยุนเริ่มรู้แล้ว่าทุกครั้งเหล่ากุ่ยจะติดปากเรียกเขาว่า ‘นายน้อย’ แต่เนื่องจากเวลาที่ยังไม่เหมาะสม จึงรีบเปลี่ยนคำเรียกใหม่กลางคันทุกครั้ง
“น้าหญิง..หากท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปพบเหล่ากุ่ยก่อน!”
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าเลือดภายในกายของเขาสูบฉีดจนร้อนรุ่มไปหมดและไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่กำหมัดแน่น! ตอนนี้หลิงหยุนอยากรู้มากว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาเป็นใคร และเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว? หรือพวกท่านหวาดกลัวอะไรจนถึงกับต้องยอมทอดทิ้งเขาเช่นนี้?!
“เจ้ารีบไปเถิด!”ใบหน้าที่งดงามของฉินตงเฉี่วยแม้จะดูคลุมเครือ แต่ก็ดูออกว่าสบายใจ..
“น้าหญิง..เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ท่านจะไปกับข้าก็ได้ หากมีเรื่องใหญ่โตที่ต้องตัดสินใจ ท่านจะได้ช่วยข้าตัดสินใจได้”
ฉินตงเฉี่วยนั้นปฏิบัติต่อหลิงหยุนดียิ่งกว่าเครือญาติและตอนนี้แม่ของเขาก็ไม่อยู่แล้ว หลิงหยุนจึงอยากให้ฉินตงเฉี่วยอยู่ด้วย
แต่ใครจะคิดว่าฉินตงเฉี่วยกลับเพียงแค่เหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดแจ้วๆว่า“เรื่องของเจ้าแท้ๆ จะให้คนอื่นช่วยตัดสินใจได้อย่างไรกัน เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง! เจ้าไปได้แล้ว.. แล้วก็รีบกลับบ้านล่ะอย่าให้ข้าต้องคอยนาน!”
ฉินตงเฉี่วยนั้นรู้จักหลิงหยุนดี..
“อะไรกันน้าหญิง..”
หลิงหยุนได้แต่เกาศรีษะอย่างเก้อเขินพร้อมกับพยักหน้าและพึมพำเบาๆว่า “น้าหญิง.. เรื่องนี้ท่านอย่าบอกให้หลิงยู่รู้..”
“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้..ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร..” ฉินตงเฉี่วยยกมือขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของหลิงหยุน
ฉินตงเฉี่วยยืนอยู่หน้าบ้านจ้องมองหลิงหยุนที่ขับรถออกไปแววตาของนางเปลี่ยนเป็นสับสน และในที่สุดก็ถอนหายใจพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“เจ้าเด็กตัวแสบ..ในเมื่อเจ้าเป็นทายาทตระกูลหลิงจริงๆ เจ้าก็ควรที่จะได้รู้จักกับบรรพบุรุษของตนเอง และเป็นเรื่องดีที่จะได้กลับไปสู่ครอบครัวที่แท้จริง แต่ถึงอย่างนั้น.. การที่เจ้าเป็นลูกของหลิงเสี่ยวที่เกิดจากธิดาพรรคมาร ไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าเจ้าจะต้องพบกับเรื่องราวหนักหนาอะไรบ้าง”
…………….
หลิงหยุนเป็นคนขับรถเองแต่ก็ลากถังเมิ่งขึ้นรถไปด้วย และตลอดทางก็ไม่มีไฟแดงเลย ทั้งคู่จึงมาถึงที่พักอาศัยของเหล่ากุ่ยได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ที่นี่อยู่ชานเมืองด้านฝั่งตะวันออกของเมืองจิงฉูภายในบ้านมีสนามหน้าบ้านเล็กๆ ส่วนทางด้านตะวันออกของบ้านก็เป็นป่ากว้างที่ค่อนข้างเงียบสงบ
“พี่หยุน..เหล่ากุ่ยอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ” เมื่อเห็นบ้านหลังเล็กถังเมิ่งถึงกับร้องถามออกมาทันที
“นายจะไปรู้อะไรที่นี่เป็นที่ซ่อนตัวอย่างดีต่างหาก!”
หลิงหยุนยังคงไม่ลงจากรถเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่เข้มข้น จึงรู้สึกตกใจอย่างมาก!
หลิงหยุนดับเคื่องและรีบกระโดดลงจากรถทันที จากนั้นจึงโยนกุญแจรถให้กับถังเมิ่งพร้อมกับร้องสั่งว่า
“นายไปจัดการธุระของนายให้เสร็จก่อนแล้วฉันจะโทรเรียกนายให้มารับเอง!”
หลังจากถังเมิ่งขับรถออกไปหลิงหยุนก็สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบจิตสงบใจ แล้วจึงเดินไปที่ประตู และเคาะเบาๆ
ประตูรั้วเปิดออกและใบหน้าของเหล่ากุ่ยก็ปรากฏอยู่หลังประตู หลิงหยุนพบว่าครั้งนี้สีหน้าของเหล่ากุ่ยดูตื่นเต้นอย่างมาก
“เหล่ากุ่ย..ข้าไปรอพบท่านอยู่ที่บ้าน..” หลิงหยุนกระโดดเข้าไปภายในบ้าน และไม่รู้ว่าจะพูดอะไร..
ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในบ้านเหล่ากุ่ยทักทายหลิงหยุนอย่างอบอุ่น และเชื้อเชิญให้เขาเข้านั่งด้านในพร้อมกับรินน้ำให้
“เหล่ากุ่ย..ข้าไม่ได้กระหายน้ำ อย่าวุ่นวายไปเลย..” หลิงหยุนรีบร้องห้าม
เขามีคำถามมากมายที่ต้องการจะถามเหล่ากุ่ยจึงไม่มีอารมณ์จะมานั่งดื่มน้ำ..
เหล่ากุ่ยได้แต่หัวเราะ..“ข้าเช่าบ้านหลังนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่แล้ว เช้านี้ตั้งใจว่าจะทำความสะอาด แต่ก็ยังไม่ได้ทำ..”
“เจ้าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกแต่ข้ากลับไม่มีชาต้อนรับ.. แต่นี่เป็นชาที่ข้าตั้งใจซื้อมาฝากเจ้า เจ้าลองดื่มดูสิ..”
เหล่ากุ่ยตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจึงรีบไปชงชาให้กับหลิงหยุน และนับว่าเป็นชาชั้นยอดที่มีกลิ่นหอมหวนมาก
นี่คือชาที่คนในตระกูลหลิงชื่นชอบโดยเฉพาะหลิงลี่!
“นาย..เอ่อ.. พ่อหนุ่ม! ครั้งนี้ข้านำของขวัญมาให้กับเจ้ามากมาย เจ้านั่งลงก่อน ข้าจะไปนำมาให้..”
หลังจากรินชาให้กับหลิงหยุนแล้วเหล่ากุ่ยก็รีบเข้าไปในห้องนอนของตนเอง เขารีบหยิบถุงใบเดิมที่นำไปเมื่อวานออกมา และหลังจากวางถุงลงแล้ว ก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
พลังชีวิตที่คุ้นเคยกระจายออกมาจากห้องนอนของเหล่ากุ่ย..
“ของสิ่งนี้แม้จะไม่ใหญ่แต่ก็หนักมาก..” เหล่ากุ่ยอุ้มกล่องไม้ยาวออกมาพร้อมกับพูดยิ้มๆ
เมื่อได้เห็นกล่องไม้หลิงหยุนถึงกับตกใจจนต้องลุกขึ้นยืนทันที!
นั่นเพราะกล่องไม้ลักษณะนี้หลิงหยุนได้เคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อตอนที่ย้ายของจากคลินิกของนางฉินจิวยื่อไปที่บ้านในอ่าวจิงฉู และฉินจิวยื่อก็สั่งให้เขาเป็นคนเคลื่อนย้ายกล่องไม้นั้นด้วยตัวเอง!
กล่องนี้มีความยาวเมตรครึ่งและกว้างสามสิบเซนติเมตร!
พลังชีวิตดูเหมือนจะมีปริมาณเท่าๆกันแต่พลังชีวิตที่กระจายออกจากกล่องไม้นี้ดูเหมือนจะบริสุทธิ์กว่า!
“เหล่ากุ่ย..นี่คือ..”
“พ่อหนุ่ม..อย่างเพิ่งตื่นเต้นไป นั่งลงก่อน แล้วข้าจะค่อยๆเล่าให้ฟังช้าๆ”
เหล่ากุ่ยดูเคอะเขินในช่วงแรกจากนั้นเขาก็กลับสู่สภาพปกติ และพูดกับหลิงหยุนยิ้มๆ
หลังจากนั้นเหล่ากุ่ยก็จัดการนำของที่อยู่ในถุงออกมา และวางลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางแล้วจึงนั่งลง
เหล่ากุ่ยหยิบกระเป๋าเงินของตนเองออกมาและยื่นบัตรของธนาคาร ICBC และส่งมอบให้กับหลิงหยุน
“ของขวัญเล็กน้อยในวันเปิดคลินิกเจ้ารับไว้ก่อน..”
บัตรของธนาคารICBC นั้นหลิงหยุนมีอยู่แล้วหนึ่งใบ และเป็นแบบ VIP แต่ก็ยื่นมือออกไปรับบัตรไว้
“ในบัญชีมีเงินอยู่จำนวนห้าร้อยล้านดอลล่าสหรัฐ..”เหล่ากุ่ยเน้นเสียง
“ห๊ะ..!”
หลิงหยุนถึงกับตกใจสุดขีด..ห้าร้อยล้านดอลล่าสหรัฐ! หากคำนวนจากอัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเงินถึงสามพันล้านหยวน!
‘นี่เรียกว่าเป็นของขวัญเล็กน้อยงั้นรึ!’
“เจ้าดูนี่..”
หลิงหยุนจ้องมองผ้าแพรหนึ่งมัดและสมุดปกดำหนึ่งเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะ..
และผ้าแพรมัดใหญ่นั้นก็ทำให้หลิงหยุนถึงกับตกใจมากเพราะเขาเคยเห็นผ้าแพรลักษณะนี้มาก่อนแล้ว มันคือผ้าแพรที่ธิดาสวรรค์แห่งองค์กรนักฆ่า หรือธิดาพรรคมารใช้พันแขน และดูเหมือนจะเป็นผ้าแพรชนิดเดียวกันด้วย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้างผ้าแพรที่เหล่ากุ่ยนำมามอบให้กับเขานั้น แม้ว่าจะทอจากด้ายชนิดเดียวกัน แต่ก็เป็นด้ายที่หนากว่าของธิดาพรรคมาร
“อะไรกันเงินห้าร้อยล้านดอลล่ากลับกลายเป็นของขวัญเล็กน้อยหากเทียบกับผ้าแพรผืนนี้งั้นรึ..?” หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตกใจ
เหล่ากุ่ยยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับตอบไปว่า“พ่อหนุ่ม.. เมื่อครั้งที่ข้ามาถึงจิงฉูครั้งแรก และได้ตามเจ้าไปสู้กับศัตรู ข้าจำได้ว่าเสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่ออกไปนั้นเนื้อผ้าไม่ดีนัก ข้าจึงได้นำผ้าแพรผืนนี้มามอบให้ เจ้าชอบหรือไม่”
หลิงหยุนจะไม่ชอบได้อย่างไรกันในเมื่อมันคือความห่วงใย..
เหล่ากุ่ยยิ้มบาง“ผ้าแพรผืนนี้ทำจากไหมดำ นอกเหนือจากพรรคมารแล้ว ก็คงมีแต่เจ้าเท่านั้นล่ะที่เหมาะสม!”
เมื่อครั้งที่ธิดาพรรคมารคนก่อนตกหลุมรักหลิงเสี่ยวนางได้มอบผ้าแพรไหมผืนนี้ให้กับหลิงเสี่ยวเพื่อนำไปใช้ตัดเสื้อ เหล่ากุ่ยร้องบอกหลิงหยุนอย่างตื่นเต้น
“แน่นอน..ข้าชอบมาก ชอบที่สุด..”
“แล้วนั่นคืออะไร!”
หลิงหยุนชี้ไปที่สมุดปกดำเล่มที่วางอยู่พร้อมกับเอ่ยถามเหล่ากุ่ย
เหล่ากุ่ยยิ้มเล็กน้อย“นี่เป็นตำราฝึกกำลังภายใน ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้าหรือไม่ แต่เท่าที่ข้าดูมันน่าจะมีประโยชน์กับเจ้ามาก..”
“อ่อ..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับมองตำราฝึกกำลังภายในอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะเขาเองก็รู้จักวิชาบ่มเพาะมากมาย..
ในที่สุดหลิงหยุนก็จ้องมองกล่องไม้ยาว..
แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นปรับร่างกาย-8แล้ว และจิตหยั่งรู้ในเวลานี้ก็คมชัดมากขึ้น อีกทั้งเนตรหยินหยางก็มองทะลุสิ่งกีดขวางได้ลึกขึ้น แต่หลิงหยุนกลับไม่สามารถมองทะลุกล่องไม้ลึกลับนี้ไปได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร