บทที่ 689 : ค่ายกลเขาวงกต!
พอลกับเจสเตอร์ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ถึงกับตกใจสุดขีด!
การที่เฉินเจี้ยนกุ่ยสามารถใช้เนตรปีศาจได้นั้นย่อมหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นอยู่ในระดับไวส์เคานต์แล้ว แม้ว่าไวส์เคานต์จะสูงกว่าบารอนเพียงแค่หนึ่งระดับ แต่พลังอำนาจนั้นกลับเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่าเลยทีเดียว..
แต่ถึงกระนั้น..เนตรปีศาจของเฉินเจี้ยนกุ่ยกลับถูกหลิงหยุนทำลายลงจนได้!
แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของหลิงหยุนจะยังไม่สามารถกำจัดเลือดแวมไพร์ในตัวของคนตระกูลเกาออกไปได้แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้พอลกับเจสเตอร์ตกตะลึงและทึ่งในความสามารถของหลิงหยุนได้อย่างมากแล้ว!
“ซาตาน..นี่พวกเรามีเจ้านายเป็นอะไรกันแน่! เจ้านายที่เคารพของพวกเราช่างเกิดมาเพื่อจองล้างจองผลาญแวมไพร์อย่างพวกเราจริงๆ”
“แต่ตอนนี้ในสายตาของฉัน..เจ้านายที่เคารพของพวกเราคือซาตาน..”
พอลกับเจสเตอร์ต่างก็กระซิบกระซาบกัน..
หลิงหยุนเดินมาหยุดอยู่ข้างแวมไพร์ทั้งสองตนพร้อมกับถามขึ้นว่า“นี่พวกเจ้า.. ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้.. เจ้าคนชั่วเฉินเจี้ยนกุ่ยมันจะสามารถใช้เลือดแวมไพร์ที่อยู่ในร่างของทุกคนตามมาถึงที่นี่ได้หรือไม่!”
เจสเตอร์ส่ายหัวและรีบตอบกลับไปทันที“เจ้านายที่เคารพ..ท่านสบายใจได้ ไม่ว่าจะเลือดแวมไพร์ในตัว หรือแม้แต่เนตรปีศาจก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้..”
พอลรีบเสริมต่อว่า“เจ้านายที่เคาพ.. ไม่ต้องกังวลใจไป ในขั้นไวส์เคานต์ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แวมไพร์ที่จะสามารถทำแบบนั้นได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ และอยู่ในขั้นแกรนด์ดุ๊คขึ้นไปเท่านั้น..”
หลิงหยุนค่อยรู้สึกโล่งใจเพราะอย่างน้อยก็สบายใจได้ว่าอีกสิบชีวิตภายในบ้านหลังนี้จะยังคงปลอดภัย
จู่ๆจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็สำรวจพบว่าเกาจิ้นสงกับเกาซิงฉางดูเหมือนจะกำลังปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่าง จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็เดินออกจากห้องใต้ดินมาหาหลิงหยุน..
“หลิงหยุน..เจ้าช่วยจี้จุดพวกเราไว้ และช่วยมัดพวกเราไว้เช่นเดิมด้วยเถิด..”
หลิงหยุนเข้าใจดีว่าทั้งคู่เกรงว่าตนเองจะสูญเสียการควบคุมจิตใจไปอีกครั้งและเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นอาจจะเผลอทำร้ายเกาเทียนหลงเข้า หลิงหยุนเองก็เห็นด้วย จึงพาทั้งคู่กลับไปที่ห้องใต้ดิน และจัดการควบคุมคนทั้งคู่ไว้เช่นเดิม
หลิงหยุนจัดการมัดทุกคนไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำเพื่อความปลอดภัย!
“เทียนหลง..เจ้าก็อยู่คุยกับคนในครอบครัวของเจ้าไปก่อน ข้าจะให้ยันต์ชำระจิตกับเจ้าไว้ เจ้าก็พิจารณาใช้ตามแต่สถานการณ์ก็แล้วกัน..”
“ถ้าพวกเขาต้องการดื่มเลือดเจ้าก็ให้เลือดพวกเขาดื่ม เพราะหากพวกเขาได้ดื่มเลือดจนพอใจ ก็จะไม่สร้างปัญหาอะไร..”
“ส่วนศิลาก้อนนี้..เจ้าก็ใช้มันเพื่อรักษาท่านปู่เกากับท่านลุงเกาไปก่อน”
หลิงหยุนได้มอบศิลาเกลาใจให้เกาเทียนหลงไว้สำหรับใช้ในการรักษาเพราะเขารู้ดีว่าศิลาเกลาใจนี้คือกุญแจสำคัญในการสะกดเลือดแวมไพร์ในตัวของทุกคน
ส่วนยันต์ชำระใจที่หลิงหยุนปลุกเสกขึ้นมานั้นเป็นเพียงตัวช่วยเร่งให้จิตใจของพวกเขาเข้าสู่ความสงบมีสติเร็วขึ้นเท่านั้น
หลิงหยุนส่งศิลาเกลาใจใส่มือของเกาเทียนหลงพร้อมกับย้ำว่า“จำไว้ว่า.. มีเพียงศิลาก้อนนี้เท่านั้นที่จะช่วยรักษาคนตระกูลเกาทั้งสิบคนนี้ได้ จงอย่าได้ทำมันสูญหาย!”
ไม่บ่อยครั้งนักที่หลิงหยุนจะยอมปล่อยให้สิ่งของสำคัญหรือสมบัติล้ำค่าของตนเองตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น แต่ครั้งนี้ตระกูลเกานับว่าต้องเผชิญทุกข์อย่างหนักหนาสาหัส และเพราะความรักของเกาเฉินเฉินที่มีต่อเขา ทำให้เขาไม่รู้สึกกังวลใจมากนัก
“หลิงหยุน..ขอบคุณเจ้ามาก ข้าเข้าใจและจะรักษามันอย่างดี!” เกาเทียนหลงอุ้มศิลาเกาใจไว้ด้วยสองมือพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ
หลิงหยุนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพร้อมกับสั่งเกาเทียนหลงว่า“เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลทุกคนไปก่อน ข้าจะออกไปสำรวจและหาข่าวคราวของเฉินเฉิน หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้รีบโทรหาข้า และข้าจะกลับมาทันที!”
หลิงหยุนหันไปสั่งพอลกับเจสเตอร์“พวกเจ้าทั้งสองคนไปที่สวนนอกบ้าน ไปหาหินก้อนใหญ่มา.. เอาก้อนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้มาทั้งหมดสามสิบหกก้อน..”
พอลกับเจสเตอร์ไม่รู้ว่าหลิงหยุนจะต้องการหินมากมายไปทำอะไรแต่ทั้งคู่ก็ไปหาหินสีดำก้อนขนาดเท่าชามข้าวมาให้จนได้
ท่ามกลางความงุนงงของทุกคนหลิงหยุนใช้หินทั้งสามสิบหกก้อนนี้สร้างค่ายกลเขาวงกตขึ้นมา!
พอลกับเจสเตอร์กำลังยืนอยู่ตรงบันไดของห้องใต้ดินแต่จู่ๆก็ห้องใต้ดินก็หายวับไปกับตารวมทั้งตัวหลิงหยุนเองด้วย
“โอ้..นี่เจ้านายที่เคารพกำลังทำอะไรกันแน่ ทุกคนหายไปใหนหมด?!” เจสเตอร์ร้องอุทานออกมาและตกตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเห็น..
“เหลือเชื่อ!”พอลเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน และได้แต่พึมพำกับตัวเอง
หลิงหยุนยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องใต้ดินเขาบอกกับเกาเทียนหลงที่กำลังยืนตกตะลึงอยู่ข้างๆว่า
“นี่เรียกว่าค่ายกลเขาวงกตข้าจะสอนวิธีเข้าและออกให้กับเจ้า..”
จากนั้นหลิงหยุนก็บอกวิธีเข้าออกค่ายกลเขาวงกตนี้ให้กับเกาเทียนหลงรู้พร้อมกับกำชับอีกว่า
“เจ้าต้องจำไว้ให้ดี..หากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ค่ายกลเขาวงกตจะเปลี่ยนเป็นค่ายกลสังหารทันที และถึงเวลานั้นเจ้าจะถูกค่ายกลโจมตี เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังอย่าให้ก้าวพลาดได้..”
เกาเทียนหลงได้แต่อึ้งไปในใจก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องเขยของเขานั้นช่างเก่งกาจอย่างน่าเหลือเชื่อ จึงได้แต่ร้องถามหลิงหยุนไปว่า
“หลิงหยุน..มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้างหรือไม่!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“ก็แค่ค่ายกลง่ายๆ.. ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าเองก็ทำไม่ได้ อย่างเช่นบินได้..”
“เจ้ายังอยากจะบินได้อีกรึ!”เกาเทียนหลงถามอย่างตกใจมากขึ้น
หลิงหยุนยกมือขึ้นตบบ่าเกาเทียนหลง“ตอนนี้เจ้ามั่นใจในตัวข้าขึ้นบ้างหรือยัง เอาล่ะ.. จากนี้ไปก็รอฟังข่าวดีจากข้า ข้าจะออกไปข้างนอกก่อน!”
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินออกมาสั่งเจสเตอร์และพอลว่า“พวกเจ้าสองคนไม่ต้องมองหน้าข้า.. พวกเจ้าต้องไปกับข้า!”
ค่ายกลเขาวงกตนั้นไม่เพียงช่วยบดบังสายตาจากผู้คนแต่ยังบดบังเสียงด้วย หลังจากที่หลิงหยุนกระโดดออกมาจากค่ายกลแล้ว เกาเทียนหลงเองก็ไม่สามารถได้ยินคำพูดของหลิงหยุนเช่นกัน
เขาจ้องมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่าตนเองกำลังตกอยู่ในความฝันตอนนี้เกาเทียนหลงเพิ่งเข้าใจว่า เหตุใดตลอดการเดินทางจากจิงฉูมาปักกิ่งนั้น หลิงหยุนจึงได้มีท่าทีที่สงบนิ่ง และมั่นอกมั่นใจอย่างมาก!
นั่นเพราะเขาเป็นผู้ที่มากความสามารถและแข็งแกร่งอย่างมาก!อย่าว่าแต่ศัตรูมาเป็นสิบเลย ต่อให้เป็นร้อยก็ยากที่จะทำอันตรายหลิงหยุนได้
และนี่เป็นครั้งแรกที่แววตาของเกาเทียนหลงเต็มไปด้วยความมั่นใจและตื่นเต้นเช่นนี้!
“เทียนหลง..เข้ามานี่!”
ในเวลานั้นเอง..เสียงเรียกของเกาจิ้นสงก็ดังมาจากห้องใต้ดิน เกาจิ้นสงเป็นผู้ที่ขอให้หลิงหยุนจี้จุดและมัดเขาไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำ แต่เวลานี้กลับมีสีหน้าไม่มีความสุขนัก..
“ท่านปู่ได้โปรดอดทนอีกนิด..”
เกาเทียนหลงทำตามที่หลิงหยุนสั่งเขาใช้มีดกรีดที่คอของเกาจิ้นสง และใช้ศิลาเกลาใจในมือจี้เข้าไปที่รอยกรีดนั้น
เกาจิ้นสงยิ้มอย่างขมขื่น“บาดแผลนี้ปู่ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย เหตุใดต้องใช้ความอดทนด้วยเล่า..”
เมื่อศิลาเกลาใจเชื่อมต่อกับร่างของเกาจิ้นสงทำให้เลือดแวมไพร์ในตัวที่กำลังจะกำเริบนั้นถูกสะกดไว้ทันที พร้อมกันนั้นเกาจิ้นสงก็รู้สึกได้ว่าศิลาเกลาใจนั้นกำลังดูดซับอะไรบางอย่างภายในร่างกายของเขาอย่างน่าประหลาด และคล้ายกับกำลังกดข่มจิตใจที่กำลังพลุ่งพล่านของเขา
“เทียนหลง.. หลิงหยุนเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเกา! เจ้าจงจำไว้ว่า.. ไม่ว่าในวันข้างหน้าตระกูลเกาจะมีชะตากรรมเช่นไร ไม่ว่าพวกเราทั้งสิบคนจะกลายเป็นอะไร? เจ้าจะต้องติดตามหลิงหยุนและจงรักภักดีกับเขา ตราบใดที่เจ้าติดตามและเชื่อฟังเขา ตระกูลเกาของเราก็จะไม่มีวันสูญสิ้น! และสักวันหนึ่งตระกูลเกาของเราก็จะฟื้นกลับคืนมาได้อีกครั้งอย่างแน่นอน!”
เกาจิ้นสงกำชังเกาเทียนหลงด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น..
“เทียนหลง..ทั้งปู่และพ่อของเจ้าต่างก็เคยพบเห็นผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน แต่พวกเราก็ยังไม่เคยพบเห็นใครที่น่าอัศจรรย์เหมือนหลิงหยุนมาก่อน ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องติดตามหลิงหยุน!”
“นี่เท่ากับว่าเฉินเฉินเป็นผู้ที่ช่วยตระกูลเกาของเราไว้หากไม่ใช่เพราะเฉินเฉิน ตระกูลเกาของเราคงต้องจบสิ้นไปนานแล้ว..”
เกาเทียนหลงกำหมัดแน่นพร้อมกับตอบปู่ของเขาไปว่า“ท่านปู่.. ข้าเข้าใจ! ท่านสบายใจได้ ตั้งแต่ข้าพบเจอหลิงหยุนมาจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เคยเห็นว่ามีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องรักษาท่านให้หายได้อย่างแน่นอน!”
“เรื่องนี้ปู่เองก็จะคอย..แต่ตอนนี้ปู่เองก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดมาพูดขอบคุณหลิงหยุนแล้ว! ปู่ไม่ได้พูดเพ้อเจ้อนะ.. แต่ปู่รู้ดีว่าคนที่ยิ่งใหญ่อย่างหลิงหยุนนั้น แม้แต่ตระกูลเกาเองก็ยังไม่อาจเอื้อม..”
เกาเทียนหลงเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านปู่.. ท่านยังไม่รู้อะไร หลิงหยุนเป็นคนที่กล้ามากเกินในบางครั้ง เขากล้าเรียกเฉินเฉินว่าภรรยา.. แล้วยังกล้าเรียกข้าว่าคุณพี่เมียด้วย..”
เกาจิ้นสงถึงกับยิ้มออกมาและตอบกลับไปว่า“เด็กโง่.. หลิงหยุนต้องการให้เจ้ารู้สึกเป็นกันเองแล้วก็ผ่อนคลายน่ะสิ! เขาเกรงว่าเจ้าจะกดดันตัวเองจนขาดผึงเหมือนเชือกเส้นหนึ่งต่างหาก”
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด..เพียงแค่เกาเทียนหลงเล่าให้ฟัง เกาจิ้นสงก็สามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ของหลิงหยุนได้ในทันที
เขาถึงกับถอนหายใจยาวและตอบกลับไปว่า“ข้าเชื่อว่าเฉินเฉินจะยังคงปลอดภัย และหากเฉินเฉินได้แต่งงานกับหลิงหยุนจริง ก็นับว่าเป็นความโชคดีของนาง ปู่เองก็จะรอคอยให้ถึงวันนั้น”
……..
เวลาตีสองครึ่ง..หลิงหยุนกับแวมไพร์อีกสองตนขับรถไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินซึ่งอยู่ห่างไปราวหนึ่งกิโลเมตร
คฤหาสน์ตระกูลเฉินตั้งอยู่ในเขตวงแหวนที่ห้าเช่นกันและเกาเทียนหลงได้บอกบ้านเลขที่ให้หลิงหยุนรู้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปสืบหาอะไรอีก เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ของถนนวงแหวนที่ห้าทันที
หลังจากที่รถจอดสนิทแล้วหลิงหยุนเองก็ไม่รีบร้อนลงจากรถนัก เขานั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ ก่อนจะหันไปถามพอลกับเจสเตอร์
“พวกเจ้าสองคนอายุเท่าไหร่กันแล้ว”
“เจ้านายที่เคารพ..ข้าแปดสิบแปดปี!”
“ฉันเจ็ดสิบเก้าปี..”
พอลกับเจสเตอร์ตอบ..
และหลิงหยุนก็ถามต่อว่า“แวมไพร์จะมีอายุกี่ปี”
“โอ้เจ้านายที่เคารพ..ท่านหมายถึงหากเปรียบเทียบกับมนุษย์ใช่มั๊ย อย่างพวกเราสองคนยังนับว่าเป็นแวมไพร์หนุ่มน้อย และยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป.. เพราะแวมไพร์อายุร้อยปีจะเท่ากับมนุษย์อายุสิบแปดปี..”
หลิงหยุนพยักหน้า“นี่.. แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพวกเจ้าสองคนจะไม่ทรยศข้า”
“โอ้ท่านซาตาน..เจสเตอร์ของสาบานว่าจะไม่มีวันทรยศท่านซาตานซึ่งเป็นเจ้านายของเจสเตอร์อย่างเด็ดขาด!”
“ท่านหลิงที่เคารพ..พวกเราเป็นคนอเมริกันก่อนที่จะกลายมาเป็นแวมไพร์ พวกเราสองคนต่างก็เป็นคนรักษาคำพูด..”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ถ้าเช่นนั้นก็ดี.. งั้นพวกเจ้าสองคนตอบคำถามข้ามาอีกหนึ่งข้อ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร