บทที่ 751 : เลิกเล่นสนุก!
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสนำแวมไพร์ขั้นเคานต์มาถึงยี่สิบสามตนและแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อีกถึงสองร้อยสามสิบตน แต่เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวหลิงหยุนกลับสังหารแวมไพร์ขั้นเคานต์ไปถึงหกตน และแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อีกหนึ่งร้อยตน!
เรียกได้ว่าใครก็ตามที่คิดจะจัดการกับหลิงหยุนผลลัพธ์คือตายสถานเดียว!
ความสามารถและความแข็งแกร่งของหลิงหยุนได้สร้างความตกตะลึง และหวาดกลัวให้กับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดเพี้ยนไม่หวาดกลัวต่อแสงไฟของเพียร์ซ ได้ทำให้แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสถึงกับอิจฉาริษยาอย่างมาก!
เพราะเมื่อครั้งที่ยันต์เตโชลูกใหญ่เริ่มลุกโชนแม้แต่แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสอย่างมันที่บินอยู่ด้านบนยังรู้สึกไม่สบายอย่างมาก และได้แต่กระพือปีกพึบพับหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยดวงตาแดงก่ำ อีกทั้งยังต้องใช้ปีกใหญ่ยักษ์ห่อหุ้มร่างกาย และดวงตาให้พ้นจากแสงไฟที่ลุกโชนนั้น
แต่เพียร์ซซึ่งอยู่ใกล้กับลูกไฟทั้งสองลูกอย่างมากกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย มันยังคงสงบนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแสงไฟดังเช่นแวมไพร์ทั่วๆไป ทำให้แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสทั้งแปลกใจ และทั้งอิจฉา
สิ่งที่แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสยังไม่รู้อีกก็คือว่าเพียร์ซและแวมไพร์บริวารทั้งสามของหลิงหยุนนั้น เวลานี้ไม่หวาดกลัวแสงไฟ และสามารถปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์ได้แล้ว อีกทั้งยังมีลูกตาสีม่วง และร่างกายก็เริ่มมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งยังไม่กลัวลูกธนูเงินด้วย..
เวลานี้เพียร์ซและแวมไพร์อีกสามตนได้กลายเป็นต้นตระกูลของแวมไพร์ไปแล้ว!
หากแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสได้รู้เรื่องนี้เข้ามันเองก็คงไม่ลังเลที่จะทรยศท่านดยุคแดร๊กคิวล่า และยอมตนเป็นบริวารของหลิงหยุนอย่างแน่นอน มันคงจะคุกเข่ากอดขาหลิงหยุนพร้อมกับอ้อนวอนว่า..
“ท่านจ้าวแห่งปีศาจทั้งหลายได้โปรดทำให้ข้าเป็นบริวารของท่านด้วยเถิด..”
แต่แน่นอนว่าแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสไม่รู้เรื่องนี้และต่อให้มันรู้ มันก็ต้องรอคอยเจ้านายของมันซึ่งเป็นดยุคแดร๊กคิวล่าทำให้เท่านั้น
“ขั้นเคานต์!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสรู้ว่าเพียร์ซอยู่ในขั้นเคานต์พร้อมกับจ้องมองอย่างอิจฉาริษยา และเกลียดชัง
“ถึงอย่างไรแวมไพร์ขั้นเคานต์ก็ต้องหวาดกลัวไฟเว้นแต่ว่าจะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ นี่เจ้าจะต้องใช้มนต์วิเศษอย่างแน่นอน..”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสหวาดกลัวธนูยาวในมือของหลิงหยุนจึงไม่กล้าบินเข้าไปใกล้ และหากมันได้เห็นดวงตาสีม่วงของเพียร์ซ มันก็จะเข้าใจทุกสิ่งที่คิดสงสัยได้ดี..
“ท่านมาร์ควิส..ข้าบอกท่านแล้วว่าชายผู้นั้นเป็นตัวอันตรายของแวมไพร์ ข้าว่าท่านควรจะเรียกบริวารมาเพิ่มมากขึ้นจะดีกว่าหรือไม่”
เฉินเจี้ยนกุ่ยรอจนกระทั่งการต่อสู้หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบบินขึ้นไปหาแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสพร้อมกับร้องถาม..
“หากข้านำเหล่าบริวารมาอีกมากมายแต่กลับไม่สามารถทำอะไรยอดฝีมือชาวจีนคนนี้ได้แม้แต่น้อย ข้าจะมีหน้ากลับไปพบท่านดยุคแดร๊กคิวล่าได้อย่างไรกัน”
……….
ด้านล่างพื้นหน้าผารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า..
หลิงหยุนเตรียมตัวที่จะโจมตีเหล่าแวมไพร์อีกครั้งเขามองไปยังหน้าผาที่มีลูกธนูเงินปักอยู่มากมาย จากนั้นจึงจัดการดึงลูกธนูเงินที่ปักอยู่
หลิงหยุนดึงลูกธนูเงินที่ปักอยู่ทางด้านซ้ายของปากถ้ำออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังซากค้างคาวขั้นเคานต์พร้อมกับร้องถามเพียร์ซว่า..
“เพียร์ซ..แวมไพร์ที่ถูกสังหารตายในร่างของค้างคาว เมื่อตายไปจะไม่กลายร่างเป็นมนุษย์งั้นรึ” หลิงหยุนร้องถามเพียร์ซ
“ถูกต้องแล้วลูกพี่..แวมไพร์ที่ยังไม่ถึงขั้นบารอน หากตายในขณะที่กลายร่าง ก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์เช่นเคย..”
“จากแวมไพร์ร่างใหญ่กลายเป็นค้างคาวตัวเล็กพวกเจ้าทำได้อย่างไร” หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับถามถึงวิธีการ..
“ลูกพี่ที่เคารพ..เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่มันเป็นสัญชาติญาณของเหล่าแวมไพร์ มันน่าจะเป็นเวทย์มนต์ พวกเราชาวตะวันตกเรียกมันว่าเวทย์มนต์..”
มันก็คล้ายกับที่เวลามนุษย์หิวก็ต้องกินมันเป็นสัญชาติญาณ เพียร์ซในฐานะที่เป็นแวมไพร์ก็ยังไม่สามารถบอกเหตุผลที่แวมไพร์สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้
คงจะไม่ต่างจากคำถามที่ว่า‘มนุษย์เกิดมาจากใหน และตายแล้วจะไปใหน..’ มนุษย์เรามักถามคำถามลักษณะนี้มาตั้งแต่อดีตกาล แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีใครตอบได้
“เวทย์มนต์และสัญญชาติญาณงั้นรึ!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วและไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเรียกว่าการบ่มเพาะพลัง หรือเวทย์มนต์ แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นพลังพิเศษที่ต่างกันเพียงแค่ชื่อเรียก
เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะนั้นหลิงหยุนเคยเข้าสู่ขั้นปฐมจิตโดยบังเอิญมาแล้ว เขาได้พบเห็นผู้คนมีปีกมากมายที่เรียกกันว่าเทวดานางฟ้า และที่สำคัญเทวดานางฟ้าเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีพลังพิเศษมากมายด้วยเช่นกัน
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นแวมไพร์มีปีกบินได้และสามารถกลายร่างเป็นค้างคาว และมีความสามารถพิเศษอื่นๆอีกมากมาย
“น่าสนใจไม่น้อย..”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและรำพึงรำพันประโยคที่มักพูดจนติดปากออกมา หลิงหยุนไม่ถามมากความอีก เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควร
เขาดึงกระบี่โลหิตแดนใต้ที่ปักไว้ที่หินออกมาและเก็บเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ จากนั้นจึงมองเข้าไปในถ้ำพร้อมกับร้องถามเกาเฉินเฉิน..
“เฉินเฉิน..คุณกลัวมั๊ย”
ภายนอกถ้ำนั้นมีทั้งพายุเสียงฟ้าร้อง และฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่เต็มไปหมด ฝนที่โปรยปรายลงมาเริ่มเบาลงกว่าก่อนหน้านี้มาก เกาเฉินเฉินที่อยู่ในถ้ำลึกไม่สามารถมองเห็นว่าหลิงหยุนอยู่ด้านนอกนั้นอันตรายมากเพียงใด จึงได้แต่ร้องตะโกนตอบไปอย่างเป็นห่วงว่า..
“ฉันไม่เป็นอะไรหลิงหยุน.. ข้างนอกดูเหมือนจะอันตราย นายต้องระมัดระวังตัวให้มากล่ะ!”
ท่ามกลางความมืดมิดเกาเฉินเฉินยิ้มให้หลิงหยุน นอกเหนือจากความห่วงใยในตัวหลิงหยุนแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรแม้แต่น้อย เพราะตลอดฝันร้ายราวกับตกอยู่ในขุมนรกทั้งสามเดือนนั้น ทำให้เกาเฉินเฉินชินชินชาต่อความหวาดกลัว
‘นายน้อยสี่..ท่านช่างดุดันนัก ชายแก่อย่างข้าเห็นเข้าถึงกับเลือดในกายพลุ่งพล่านเช่นกัน..’
แม้เกาเฉินเฉินจะไม่เห็นอะไรแต่เหล่ากุ่ยซึ่งเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 นั้น ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ เขาจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน และได้แต่แอบชื่นชมหลิงหยุนอยู่ในใจเงียบๆ
‘น่าเสียดายที่บ่าวแก่ๆอย่างข้าฝีมือยังต่ำต้อยนักไม่สามารถช่วยอะไรนายน้อยสี่ได้มาก ช่างน่าละอายยิ่ง!’ เหล่ากุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมา..
เหล่ากุ่ยไม่มีทั้งกระบี่โลหิตแดนใต้และกระบี่มังกรขาว และกำลังภายในของเขาก็เทียบเท่ากับแวมไพร์ขั้นบารอน แต่หากให้รับมือกับแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์เวลานี้ ก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
อย่าว่าแต่เหล่ากุ่ยเลย..ต่อให้เป็นจอมยุทธชาวจีนขั้นเซียงเทียนคนอื่นๆ ก็ยากที่จะเอาชนะเหล่าแวมไพร์ที่ทั้งเป็นอมตะ มีพละกำลังมหาศาล เคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งยังสามารถฟื้นตัวจากการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญแวมไพร์ขั้นบารอนนั้นยังสามารถบินได้อีกด้วย เช่นนี้แล้วยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนจะสามารถเอาชนะพวกมันได้อย่างไร
แต่หลิงหยุนนั้นแตกต่างจากจอมยุทธคนอื่นๆและเวลานี้ก็ได้กลายมาเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวของเหล่าแวมไพร์ เพราะเขามีไพ่ตายในมืออยู่มากมาย!
หากพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายหลิงหยุนก็มีวิชาดาราคุ้มกายที่ฝึกถึงขั้นที่สอง เขี้ยวและเล็บที่แหลมคมของเหล่าแวมไพร์จึงไม่สามารถทำอะไรหลิงหยุนได้แม้แต่รอยขีดข่วน
หากพูดถึงเรื่องความรวดเร็วหลิงหยุนก็มีมังกรพรางร่าง และหลังจากดูดซับพลังปราณจากยอดฝีมือเข้าไปในเมื่อคืนตั้งมากมาย หลิงหยุนก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงหนึ่งร้อยเมตรด้วยการขยับเพียงแค่ครั้งเดียว เช่นนี้แล้วใครจะสู้กับหลิงหยุนได้เล่า!
หากพูดถึงเรื่องกำลังภายใน..แทบไม่มีใครเทียบหลิงหยุนได้เลย เพราะหากหลิงหยุนใช้กำลังภายในทั้งหมดที่มี ก็ดูจะเป็นการรังแกเหล่าแวมไพร์จนเกินไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่โลหิตแดนใต้กระบี่มังกรขาว และดาบพายุ อาวุธเหล่านี้เมื่อประกอบเข้ากับวิชาเคลื่อนที่ที่รวดเร็วของหลิงหยุนแล้วล่ะก็ จะทำให้สามารถฟันร่างของเหล่าแวมไพร์ขาดออกจากกันได้ไม่ต่างจากเต้าหู้เนื้อนิ่มเลยทีเดียว
นอกเหนือจากนี้หลิงหยุนยังมียันต์เตโชระดับห้ามีเนตรหยิน-หยาง และมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลัง..
ใหนยังจะมีคันธนูทองและลูกธนูที่ทำจากเงินทั้งดอกอีกด้วย..
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่หลิงหยุนพ่ายแพ้ให้แก่เหล่าแวมไพร์นั่นก็คือการบินได้!
“เหล่ากุ่ย..ท่านสบายใจได้ อีกไม่นานนักหรอก!”
หลิงหยุนรู้ว่าเหล่ากุ่ยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจเขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยเพราะอีกไม่นานเขาก็จะเริ่มปรุงยาได้แล้ว
ตราบใดที่หลิงหยุนเริ่มปรุงยาได้เขาจะทำให้ผู้คนรอบตัวแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว ทุกคนจะต้องสามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นเซียงเทียนได้ หรือไม่ก็ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนัก
“ข้าจะกำจัดกองกำลังของศัตรูที่อยู่ที่นี่ให้หมดก่อนแล้วพวกเราค่อยไปจากที่นี่!”
หลิงหยุนเห็นแวมไพร์ขั้นเคานต์สามารถเข้าใกล้ลูกไฟได้ถึงสองร้อยเมตรจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และไม่ต้องการเสียเวลาเล่นสนุกกับพวกมันอีก
“เหล่ากุ่ย..ท่านไปยืนป้องกันอยู่ที่ปากถ้ำ และจุดยันต์เตโชทุกๆหนึ่งนาที ส่วนเพียร์ซเจ้าไปสังหารพวกมันกับข้า..”
ตูม!
พูดจบ..หลิงหยุนก็จัดการโยนยันต์เตโชขึ้นพร้อมกับกระโดดไปยืนบนหลังของเพียร์ซ
“บินขึ้นไปบนท้องฟ้าจัดการสังหารแวมไพร์ขั้นเคานต์ให้หมด!”
ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อน!
ปีกของเพียร์ซกระพือและรีบพาร่างของหลิงหยุนบินสูงขึ้นไปกว่าหนึ่งร้อยเมตรพุ่งตรงเข้าหาแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งสิบเจ็ดตน!
ในเวลาเพียงไม่นาน..ทั้งเจ้านายและบริวารก็บินสูงขึ้นไปอีกห้าร้อยเมตร
ฟิ้ว!
ลูกธนูทั้งสามดอกพุ่งออกไปจากคันธนูพร้อมกัน!
หลิงหยุนยืนอยู่บนหลังเพียร์ซและจัดการยิงลูกธนูเข้าใส่แวมไพร์ทั้งสามตนที่อยู่ด้านหน้า
เพียร์ซบินขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนแม้แต่แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่บัญชาการอยู่ด้านบน ยังคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกล้าบินขึ้นมาสู้กับพวกมันกลางอากาศเช่นนี้ เหล่าแวมไพร์ต่างก็ตั้งตัวไม่ทัน..
หลิงหยุนบุกเข้าประชิดกองกำลังของเหล่าแวมไพร์ที่เวลานี้อยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยเมตรและบนท้องฟ้าที่สูงจากพื้นดินขนาดนี้ หลิงหยุนจึงไม่ต้องห่วงเกาเฉินเฉิน และเหล่ากุ่ย เขาจึงเดินพลังลับหยิน-หยางเต็มที่เพื่อถ่ายเทพลังหยินลงไปที่ลูกศรทั้งสามดอก
ลูกศรแหลมและเย็นเป็นน้ำแข็งของหลิงหยุนทั้งสามดอกนั้นพุ่งทะลุเจาะเข้าไปในร่างของแวมไพร์ทั้งสามตน ในขณะที่แวมไพร์ตนอื่นๆ ต่างก็บินหลบหนีกันอุตลุด..บทที่ 752 : เทพเจ้าแห่งความตาย!
“อ๊าก..”
ลูกธนูทั้งสามดอกที่หลิงหยุนยิงออกไปนั้นจุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อสังหารศัตรูให้ตายในทันที แต่ต้องการทำลายล้างศัตรูให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเป้าหมายที่ยิงออกไปจึงไม่ใช่แค่ร่างของแวมไพร์ขั้นเคานต์เท่านั้น แต่เขาต้องการให้ลูกธนูที่ยิงออกไปพุ่งผ่านร่างของศัตรูให้ได้มากที่สุด และยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
ดังนั้น..ลูกธนูที่หลิงหยุนยิงออกไป จึงทำให้แวมไพร์ขั้นเคานต์ถึงเก้าตนได้รับบาดเจ็บทันทีแต่ไม่ถึงตาย!
อย่างที่รู้ๆกันว่าแวมไพร์ขั้นเคานต์นั้นแข็งแกร่งกว่าแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์มากและเลือดของมันก็มีพลังที่สามารถช่วยในการหลบหนีได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ทว่าลูกธนูของหลิงหยุนนั้นก็ทรงพลังและรวดเร็วอย่างมาก อีกทั้งยังทำจากเงินบริสุทธิ์ทั้งดอก และยังอาบด้วยพลังหยินที่เยือกเย็นของหลิงหยุนอีกด้วย..
เหล่าแวมไพร์ต่างก็หวาดกลัวลูกธนูที่ทำจากเงินเพราะอาวุธที่ทำจากเงินเหล่านี้ไม่เพียงสามารถทำลายร่างกายของพวกมันได้ แต่ยังทำให้พวกมันต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวนานมากขึ้น หรือไม่ก็ถึงตายได้อีกด้วย
แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่สามารถสังหารแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งเก้าตนได้ในทันทีแต่ก็ได้บรรลุเป้าหมายของตนเองแล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือทำให้พวกมันกลายเป็นน้ำแข็ง!
และเพียงเท่านั้นก็เพียงพอสำหรับหลิงหยุนมากแล้ว..
“คราวนี้ก็เตรียมตัวตายได้แล้ว..”
หลิงหยุนเปลี่ยนไปถือคันธนูทองไว้ในมือข้างขวาและเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาถือไว้ที่มือข้างซ้าย!
ระหว่างที่หลิงหยุนกระทำการทุกอย่างนั้นเพียร์ซก็ไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับบินด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำไป!
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของหลิงหยุนเพียร์ซก็กระพือปีกใหญ่ของมันบินพุ่งไปทางด้านหน้าอีกหนึ่งร้อยเมตรตรงเข้าใส่ร่างของแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งเก้าทันที!
“ฮ่า..ฮ่า.. ข้าตามมาเอาชีวิตของพวกเจ้า!”
หลิงหยุนร้องตะโกนขณะที่ยืนอยู่บนแผ่นหลังของเพียร์ซพร้อมกับฟาดฟันกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือ!
แวมไพร์ขั้นเคานต์สองตนแรกนั้นถูกลูกธนูเงินอาบพลังหยินของหลิงหยุนจนร่างทะลุเป็นรู ร่างของมันค่อยๆกลายเป็นน้ำแข็ง และแววตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!
ส่วนแวมไพร์ขั้นเคานต์อีกเจ็ดตนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นก็ไม่ต่างกันนักพวกมันทั้งหวาดกลัว และร่างก็ลอยละลิ่วตกลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว..
และในเวลานี้แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสก็เพิ่งจะรู้ซึ้งถึงความน่ากลัว และน่าสยดสยองของหลิงหยุนอย่างแท้จริง!
ชัวะ!
ศรีษะของแวมไพร์หนึ่งตนถูกตัดขาดออกจากร่างทันทีแต่ก็ไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว แล้วร่างกับศรีษะที่แยกออกจากกันนั้นก็ร่วงตกลงไปยังพื้นดินด้านล่าง!
“ยังเหลืออีกแปด!”
ชั่วเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งก็ถูกสังหารตายไปหนึ่ง และเวลานี้หลิงหยุนก็ไม่คิดที่จะปราณีผู้ใดอีก กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุนถูกเรียกเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่ ในขณะที่คันธนูทองในมือถูกน้าวสายยิงออกไปอีกครั้ง
ฟิ้ว!
ลูกธนูเงินหนึ่งดอกถูกยิงออกไปอีกครั้งและพุ่งตรงเข้าใส่ศรีษะของแวมไพร์ขั้นเคานต์อีกตนจนขาดใจตาย
“ยังเหลืออีกหกสินะ..”
แม้ว่าแวมไพร์ทุกตนจะอยู่ในขั้นเคานต์แต่เพียร์ซก็ได้กลายเป็นแวมไพร์ต้นตระกูลไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของร่างกาย หรือความเร็วในการเคลื่อนที่ เพียร์ซจึงแข็งแกร่ง และรวดเร็วกว่าแวมไพร์ขั้นมาร์ควิส จึงแทบไม่ต้องพูดถึงแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งหกตนที่เหลือ อีกทั้งพวกมันยังได้รับผลจากพลังหยินเย็นทำให้เคลื่อนที่ได้ช้ากว่าปกติมาก!
ภายใต้ความแข็งแกร่งของตนเองและความอ่อนแอของเหล่าแวมไพร์นี้ เพียร์ซจึงสามารถบินไล่ล่าแวมไพร์ขั้นเคานต์ได้อย่างง่ายดาย และหลิงหยุนก็ได้สังหารพวกมันด้วยกระบี่โลหิตแดนใต้ที่เรียกออกมาอีกครั้ง!
ยังคงเหลือแวมไพร์ขั้นเคานต์อีกห้าตนที่ดูเหมือนจะมีพลังความสามารถที่เหนือกว่าแวมไพร์ตนอื่น และหลังจากที่หายตกใจ พวกมันก็รีบแปลงร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กหนีการไล่ล่าของหลิงหยุน และการที่พวกมันแปลงร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กนั้น ก็จะสามารถบินหนีหลิงหยุนได้เร็วมากขึ้น และยังทำให้กลายเป็นเป้าที่เล็กลงอีกด้วย
“เหล่าบริวาร..รีบมาปกป้องเจ้านายของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้!”
สิ้นเสียงคำสั่งของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งห้าต่างก็บินขึ้นไปปกป้องเจ้านายของมัน..
เวลานี้แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสหวาดกลัวจนแทบตายและได้กลายร่างเป็นค้างคาวตัวเล็ก บินเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มค้างคาวขั้นไวส์เคานต์ทั้งหนี่งร้อยสามสิบตน พร้อมกับร้องบอกแวมไพร์ทุกตนว่า
“ดาบวิเศษของชายผู้นั้นช่างน่าสยดสยองนักสามารถตัดร่างของพวกเราให้ขาดครึ่งได้ด้วยการฟันเพียงแค่ครั้งเดียว!”
ปกติแล้ว..แวมไพร์ขั้นต่ำกว่าเคานต์นั้น หากเทียบกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ ก็นับว่ามีพละกำลัง และความเร็วที่เหนือกว่าอย่างมากแล้ว
แต่ต่อหน้าหลิงหยุนผู้ซึ่งมีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือความสามารถที่เหนือมนุษย์ของพวกมันกลับไม่มีความหมายใดๆ และไม่ต่างจากปลาที่ถูกเลือกขึ้นมารอเชือดเท่านั้นเอง!
เมื่อเห็นว่าแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งห้าตนพร้อมด้วยแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสได้แปลงร่างเป็นค้างคาวและบินเข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ทั้งร้อยสามสิบตน หลิงหยุนจึงหันไปสั่งเพียร์ซอย่างไม่ลังเล
“ได้เวลาบดขยี้พวกมันแล้ว..เจ้าบินไปรอข้าอยู่ด้านล่างของกลุ่มค้างคาวนั่น!”
เพียร์ซรู้สึกใจไม่ดีเพราะความสูงที่มันบินอยู่นั้นคือห้าร้อยเมตรเหนือระดับพื้นดิน แต่หลิงหยุนกลับสั่งให้เขาบินไปรออยู่ด้านล่าง!
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่กลัวแวมไพร์ขั้นเคานต์และไวส์เคานต์แต่ไม่ได้หมายความว่าเพียร์ซไม่หวาดกลัวด้วย แม้ว่าความสามารถของมันจะเหนือกว่าแวมไพร์ขั้นเคานต์ แต่ด้วยความสามารถของมันเวลานี้ หากต้องสู้กับแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งสองตัวพร้อมกัน ก็คงยากที่จะสู้ได้เช่นกัน!
ดังคำพูดที่ว่า..มดหลายตัวสามารถล้มช้างตัวใหญ่ได้ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน! หากแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์บุกโจมตีเพียร์ซพร้อมกันในคราวเดียว ต่อให้ไม่สามารถสังหารเพียร์ซได้ แต่มันก็คงต้องพ่ายแพ้และล่าถอยไป..
“ลูกพี่..ท่านต้องระมัดระวังด้วย!”
เพียร์ซรู้ดีว่าหลิงหยุนทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงมัน..หากเพียร์ซบินเข้าไปท่ามกลางแวมไพร์เช่นนี้ ก็อาจถูกพวกมันทุบตีจนได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้ มันยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะกระพือปีกพาร่างของหลิงหยุนเข้าไปในกลุ่มค้างคาว
“ตายซะเถิด!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็เริ่มเอาจริงเสียทีเมื่อเขาเข้าไปใกล้ฝูงค้างคาวได้ในระยะสามสิบเมตร เขาก็เริ่มโคจรดาราคุ้มกายขั้นสูงสุดทันที และเดินพลังลับหยิน-หยาง ในขณะเดียวกันก็เรียกคันธนูยาวเก็บเข้าไป และเปลี่ยนไปถือกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือขวาแทน ส่วนมือซ้ายก็ถือดาบวิเศษอย่างดาบพายุ!
มือซ้ายเป็นดาบพายุส่วนมือขวาเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ อีกทั้งชุดที่หลิงหยุนสวมใส่ก็คือชุดที่ตัดจากผ้าแพรไหมดำ จากนั้นจึงใช้มังกรพรางร่างกระโดดจากหลังของเพียร์ซพุ่งเข้าไปในกลุ่มค้างคาวทั้งร้อยกว่าตัวนั้น!
และทันทีที่ร่างของหลิงหยุนกระโดดออกจากแผ่นหลังของเพียร์ซมันก็ลดเพดานบินลงไปอยู่ด้านล่างของกลุ่มค้างคาวทันที และคอยระมัดระวังไม่ให้ร่างของหลิงหยุนตกลงไปยังพื้นดินด้านล่าง
แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องไม่หล่นลงไปอย่างแน่นอน!
นั่นเพราะเวลานี้จุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้นใหญ่มากทำให้มีพลังหยิน-หยางในร่างกายราวกับท้องทะเล และความหนาแน่นของพลังปราณนี้ ทำให้ร่างของหลิงหยุนเบาดั่งขนนก!
และด้วยพลังปราณของหลิงหยุนเวลานี้หากเขากระโดดขึ้นฟ้าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เขาจะสามารถกระโดดได้สูงถึงหนึ่งร้อยเมตรเลยทีเดียว และหากกระโดดไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ก็จะโดดได้ไกลถึงสองสามร้อยเมตรเช่นกัน
แม้ว่าหลิงหยุนจะอยู่สูงถึงห้าร้อยเมตรแต่เขาก็สามารถอาศัยพื้นที่เพียงแค่นิ้วโป้งเป็นแรงส่งให้สามารถกระโดดขึ้นสูง หรือไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย เพียงเท่านี้เขาก็ไม่หล่นลงไปยังพื้นดินอีก!
แล้วบนอากาศเช่นนี้หลิงหยุนจะหาพื้นที่ยืนได้อย่างไรกันคำตอบก็คือย่อมได้แน่นอน.. ร่างของเหล่าแวมไพร์ที่ถูกหลิงหยุนฆ่าตายนั้น จะเป็นพื้นที่ยืนและแรงส่งให้ร่างของหลิงหยุนลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ!
หลิงหยุนพุ่งเข้าใส่ฝูงค้างคาวราวกับปีศาจดาบและกระบี่ในมือกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพม่านสีดำขนาดใหญ่!
สิ่งที่น่าสยดสยองสำหรับเหล่าแวมไพร์ไม่ได้มีเพียงกระบี่และดาบวิเศษทั้งสองด้ามในมือหลิงหยุนเท่านั้น แต่ยังมีไอเย็นที่กระจายออกมาจากร่างของหลิงหยุน ทำให้เหล่าแวมไพร์ที่อยู่ในรัศมีสิบเมตรรอบตัวเขานั้นถึงกับอุณหภูมิในร่างกายลดลงอย่างน่ากลัว และไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องการหลบหนี
ตราบใดที่พวกมันไม่บินหนีไปพวกมันก็ไม่ต่างจากลูกแกะในกำมือของหลิงหยุน และได้กลายเป็นจิตวิญญาณที่ไปสิงสู่อยู่ในกระบี่ของหลิงหยุนแทน
หลิงหยุนไม่พูดอะไรอีกเขามุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการสังหารศัตรูเท่านั้น และหากเขาตั้งใจที่จะจู่โจมแล้วล่ะก็ ความเร็วของหลิงหยุนก็ไม่ต่างจากงูที่จ้องจะฉกเหยื่อเลย
แต่แน่นอนว่าการที่หลิงหยุนจะทำเช่นนั้นได้เขาต้องโคจรดาราคุ้มกายขั้นสุด และเดินพลังลับหยิน-หยางเพื่อให้ร่างกายมีไอแห่งพลังเย็นที่สามารถกระจายออกไปได้ไกลถึงสิบเมตร ในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจตำแหน่งของค้างคาวแต่ละตัว เพื่อที่เขาจะสามารถใช้เหยียบเพื่อกระโดดไปยังจุดหมายต่อไป และเพื่อไม่ให้ตกลงไปบนพื้นดินด้านล่างได้ อีกทั้งในมือยังต้องกวัดแกว่งกระบี่โลหิตแดนใต้และดาบพายุอยู่ตลอดเวลาเพื่อสู้กับศัตรูอีกด้วย!
“หกสิบสาม!”
“เจ็ดสิบหก!”
“แปดสิบห้า!”
และหลิงหยุนก็สามารถสังหารแวมไพร์ไปได้ถึงแปดสิบกว่าตัวแล้ว..
“ปีศาจ..มันต้องเป็นปีศาจแน่ๆ!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสเห็นหลิงหยุนที่ไม่ต่างจากเทพเจ้าแห่งความตายซึ่งสามารถเอาชีวิตบริวารมากมายของมันที่อยู่บนท้องฟ้าได้ จึงได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร