Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 815

บทที่ 815 : รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย!
  หลังจากที่พลังวนหยิน-หยางก่อตัวขึ้นและหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ระหว่างความเป็นความตายมามากมายหลายครั้ง หลิงหยุนก็ได้ดูดเอาลมปราณของคู่ต่อสู้เข้าไปได้ค่อนข้างมาก ทำให้สามารถเข้าใกล้ขั้นพลังชี่ไปมากขึ้นทุกที เรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่พร้อมจะทะลุทะลวงเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ทุกนาที หากลมปราณในร่างกายเสถียรพอก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นปฐมพลังชี่ได้ในทันที..
  มีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่รู้ว่าการเข้าสู่ขั้นพลังชี่นั้นมีความหมายต่อเขาอย่างไร
  ตราบใดที่หลิงหยุนสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้เขาก็จะสามารถปรุงยา ปลุกเสกยันต์ขั้นสูง และเริ่มทดลองสร้างของวิเศษต่างๆขึ้นมาได้ ที่สำคัญจิตหยั่งรู้ของเขาก็จะสามารถมองย้อนกลับเข้าไปสำรวจภายในร่างกายตนเองได้
  การเข้าสู่ขั้นพลังชี่คือการก้าวเข้าสู่การฝึกบ่มเพาะที่แท้จริงอีกขึ้นหนึ่ง!
  เวลานี้ร่างกายของหลิงหยุนได้ผ่านขั้นการปรับร่างกายมาแล้วจนเวลานี้ร่างกายของเขาได้ถูกปรับเปลี่ยนจนเหมาะสมอย่างยิ่งกับการฝึกบ่มเพาะ และจากวันนี้หากต้องพบเจอกับความยากลำบากมากเท่าใด สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับกลายมาเป็นสิ่งสนับสนุนในการฝึกฝนให้กับหลิงหยุน!
  พลังชีวิตบนโลกใบนี้ค่อนข้างขาดแคลนดังนั้นการปรุงยา การปลุกเสกยันต์ และการสร้างของวิเศษต่างๆขึ้นมา จึงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นสำหรับหลิงหยุน
  เมื่อใดที่เข้าสู่ขั้นปฐมพลังชี่แล้วแม้หลิงหยุนจะไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองนั้นอยู่ยงคงกะพัน แต่ก็สามารถพูดได้ว่าไม่มีใครที่จะสามารถเอาชีวิตของเขาได้อย่างแน่นอน..
  ดังนั้นหลิงหยุนจึงไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเองเขากำลังเป็นห่วงเรื่องอื่นมากกว่า..
  หลิงหยุนกังวลใจและเป็นห่วงเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ!
  แม้ว่าหลิงหยุนจะสามารถช่วยเกาเฉินเฉินออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถวางใจได้สนิทนัก เพราะเวลานี้คนตระกูลเฉินยังคงรอรับการรักษาจากเขาอยู่..
  เสี่ยวเม่ยเม่ยเองก็ยังคงเงียบหายหลิงหยุนจำเป็นต้องหาตัวธิดาพรรคมารให้พบเพื่อสอบถามที่อยู่ขอเสี่ยวเม่ยเม่ย และไปนำตัวเธอกลับมา แต่ช่างน่าเสียดายที่ธิดาพรรคมารเองก็หายเงียบไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
  ส่วนเฉิงเม่ยเฟิงก็กำลังรอคอยให้เขาไปช่วยออกมาจากสำนักจิ้งซินอีกทั้งยังต้องทำการฟื้นคืนความทรงจำให้กับเธออีก
  ทางด้านฉินจิวยื่อที่เดินทางไปยังสำนักกระบี่เทวะเทียนซันนั้นก็เงียบหายไม่ได้ข่าวคราวเช่นกัน หลิงหยุนได้แต่แอบกังวลใจอยู่เงียบๆ
  นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเรื่องของแม่ผู้ให้กำเนิดตั้งแต่ที่หลิงหยุนกลับเข้าตระกูล เขาก็กระตือรือร้นอยากจะพบหน้าแม่แท้ๆ ซึ่งก็คือธิดาพรรคมารคนก่อน เพราะนางคือผู้ที่เสียสละอย่างมากในการที่จะรักษาชีวิตของหลิงหยุนไว้
  ยังมียอดฝีมือพรรคมารที่ต่อสู้อยู่บนหน้าผาในคืนนั้นนามว่าจินเหยี่ยวอีกนางคือผู้ที่พาหลิงหยุนหลบหนีออกมา ซึ่งเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว!
  และแน่นอนว่า..หลายเรื่องจะต้องสืบจากธิดาพรรคมารคนปัจจุบัน หากหลิงหยุนเดาไม่ผิด ธิดาพรรคมารผู้นี้น่าจะเคยเป็นศิษย์ของแม่เขาก็เป็นได้!
  แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แม้แต่ชื่อของธิดาพรรคมารเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ! ธิดาพรรคมารจากไปแล้ว และก็ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใหน
  แต่ก่อนที่จะทำเรื่องใดภารกิจสำคัญที่หลิงหยุนต้องทำก่อน และเป็นภารกิจสำคัญที่สุดก็คือการตามหาหลิงเสี่ยวซึ่งเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดตนเองให้พบเสียก่อน!
  ดังนั้น..เรื่องที่หลิงหยุนกังวลใจมากที่สุดก็คือความปลอดภัยของหลิงเสี่ยวนั่นเอง!
  “นายน้อยสี่..คุณชายสามหายตัวไปครั้งนี้ แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าตอนนี้คุณชายสามจะเป็นเช่นใดกันแน่! เพราะเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย..”
  “เวลานี้คงทำได้แค่แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าแล้วค่อยคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไป..”
  หลังจากที่หลิงเสี่ยวหายตัวไปเหล่ากุ่ยเองก็ร้อนใจเช่นกัน แต่เวลานี้เขาก็ทำได้เพียงแค่ปลอบใจหลิงหยุนเท่านั้น
  ต่อหน้าเหล่ากุ่ย..หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าอย่างช้าๆ
  “ไม่รู้ว่าข้าต้องรอเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่”หลิงหยุนพึมพำเสียงเบา
  แต่จู่ๆก็ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่า “เหล่ากุ่ย.. เรื่องที่ข้ายังเป็นห่วงอีกหนึ่งเรื่องก็คือเรื่องของหลิงห่าว..”
  “เอ่อ..”
  เหล่ากุ่ยเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับหันไปหัวเราะเสียงดัง“นายน้อยสี่.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป นายน้อยใหญ่มีฐานะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป อีกอย่างเขาเองก็เคารพคุณชายสามเป็นอย่างมาก แม้จะมีนิสัยชอบเที่ยวเตร่ทำตัวเป็นหนุ่มเพลย์บอย แต่ก็ไม่กล้าทำเรื่องเสียหายให้กับตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!”
  หลิงหยุนรู้ว่าเหล่ากุ่ยกำลังเข้าใจผิดเขายิ้มบางพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหล่ากุ่ย.. ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น นี่ท่านลืมเรื่องที่ข้าเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าได้ยินมาจากปากเฉินเซินในคืนนั้นแล้วรึ!”
  พูดจบหลิงหยุนก็หันไปมองทางหลังคารถแลนด์โรเวอร์อีกครั้ง..
  “อ่อ..เรื่องนั้นเองหรอกรึ เมื่อวานนี้นายน้อยใหญ่กลับมาบ้าน แล้วก็ได้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้นายผู้เฒ่าทราบแล้ว นายน้อยใหญ่บอกว่าเขาเพียงแค่ขอให้เฉินเซินใช้เส้นสายที่มีอยู่ช่วยตามหาตัวนายน้อยสี่ให้เท่านั้น..”
  “นายน้อยใหญ่ยังเล่าอีกว่าเขาไม่รู้จริงๆว่าคุณชายสองถูกตระกูลเฉินจับตัวไปกักขังไว้ แม้แต่เฉินเซินเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน และเรื่องที่เขาไปขอความช่วยเหลือจากเฉินเซินนั้น เขาก็ได้สั่งห้ามเฉินเซินไม่ให้บอกผู้ใดเช่นกัน..”
  หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของเหล่ากุ่ยหลิงหยุนก็ได้แต่คิดในใจว่า
  ‘มันฟังดูแปลกๆ..’
  ในประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างประเทศจีนนั้นการจะค้นหาใครสักคนย่อมไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหลิง ก็ใช่ว่าจะอาศัยเส้นสายสืบหากันได้ง่ายๆ
  ก่อนที่หลิงหยุนจะมาปักกิ่งและได้บุกเข้าไปช่วยลุงสองของเขาในคฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้น ทั้งหลิงห่าวกับเฉินเซินต่างก็เป็นหนุ่มเพลย์บอยเที่ยวเตร่ด้วยกัน การที่หลิงห่าวจะขอความช่วยเหลือจากเฉินเซินนั้น จึงนับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา อีกทั้งหลิงห่าวยังขอร้องให้เฉินเซินเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอีกด้วย!
  ด้วยเหตุผลเหล่านี้หลิงห่าวจึงสามารถเล่าให้ท่านปู่ของเขาฟังได้อย่างไม่มีพิรุธใดๆ อีกทั้งการที่หลิงห่าวยอมรับออกไปตามตรงเช่นนี้ คำพูดของเขาก็ยิ่งฟังดูสมเหตุสมผลมากขึ้น
  จากคำอธิบายของหลิงห่าวทำให้เห็นว่าหลิงห่าวไม่ได้ร่วมมือกับเฉินเซินทำเรื่องไม่ดีต่อตระกูลหลิง และไม่ได้หักหลังตระกูลหลิงแต่อย่างใด..
  แม้ว่าคำอธิบายของหลิงห่าวจะฟังดูเข้าทีและมีเหตุมีผล แต่หลิงหยุนก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ..
  หลิงหยุนยังจำได้อย่างแม่นยำว่าในคืนที่เขาเข้าไปสำรวจคฤหาสน์ตระกูลเฉินนั้น น้ำเสียงและคำพูดที่เฉินเซินใช้เรียกชื่อของเขานั้นราวกับกำลังพูดถึงสัตว์เลื้อยคลานที่น่ารังเกียจ!
  ในเมื่องหลิงห่าวและเฉินเซินเป็นเพื่อนสนิทกันการที่หลิงห่าวไปขอความช่วยเหลือจากเฉินเซินให้ช่วยตามหาหลิงหยุน เฉินเซินควรจะเรียกชื่อเขา ‘หลิงหยุน’ เมื่อพูดถึงไม่ใช่หรอกหรือ! แต่เหตุใดจึงใช้คำพูดและน้ำเสียงเช่นนั้นเมื่อพูดถึงเขา แม้กระทั่งหลิงห่าวเอง เฉินเซินก็ยังเรียกเขาว่า ‘เจ้างั่ง’!
  หากหลิงหยุนไม่ได้ยินคำพูดจากปากเฉินเซินมาก่อนเขาก็อาจจะหลงเชื่อคำพูดของหลิงห่าวก็เป็นได้ แต่ตอนนี้เฉินเซินกับไห่ซานอยู่ในมือของเขาแล้ว!
  เฉินเซินไม่เพียงแค่ช่วยหลิงห่าวตามหาตัวหลิงหยุนแต่ยังส่งไห่ซานไปตามฆ่าเขาอีกด้วย!
  ในเวลานั้น..หลิงหยุนยังเป็นแค่เด็กหนุ่มร่างอ้วนที่ไม่มีอะไรดี และนับว่าห่างไกลจากหนุ่มเจ้าสำราญในปักกิ่งอย่างเฉินเซินมากด้วย ทั้งสองคนไม่น่าจะมีโอกาสโคจรมาพบเจอกันด้วยซ้ำไป แล้วจะกลายมาเป็นศัตรูคู่แค้นถึงขั้นต้องส่งคนมาลอบฆ่าหลิงหยุนได้อย่างไรกัน หลิงหยุนไปทำอะไรให้เฉินเซินอย่างนั้นหรือ?
  หลิงหยุนรู้ดีว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำมากกว่าที่หลิงห่าวอธิบายมาแต่เขาคงไม่ต้องครุ่นคิดหาคำตอบด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้ว เพราะเวลานี้เฉินเซินอยู่ในรถของเขา และตราบใดที่เขาทำให้เฉินเซินเปิดปากได้ เขาก็จะรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างกระจ่างแจ้ง..
  หลิงหยุนฟังแล้วจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจนัก“อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง แล้วตอนนี้หลิงห่าวเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
  เหล่ากุ่ยนั้นรู้จักอุปนิสัยใจคอของหลิงหยุนดีเมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่หลิงหยุนเรียกชื่อหลิงห่าวแล้ว ในใจของเขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
  เหล่ากุ่ยเป็นบ่าวที่จงรักภักดีกับหลิงลี่อย่างที่สุดเวลานี้หลิงหยุนได้กลับเข้าตระกูลหลิงแล้ว ฐานะของหลิงหยุนจึงเป็นถึงทายาทตระกูลหลิงซึ่งไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
  “นายน้อยสี่..บ่าวมีคำพูดหนึ่งจะบอกกับท่าน ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดอย่างเข้าอกเข้าใจเหล่ากุ่ย“เหล่ากุ่ย.. ท่านมีมารยาทกับข้าอีกแล้วนะ! ไม่เพียงระหว่างข้ากับท่านไม่จำเป็นต้องมีมารยาทต่อกันแล้ว ท่านอยากจะพูดอะไร ก็ย่อมได้ทั้งนั้น..”
  เหล่ากุ่ยนิ่งไปเล็กน้อยเขากำลังครุ่นคิดหาคำพูดที่เหมาะสม..
  “นายน้อยสี่..เวลานี้ฐานะของท่านไม่ใช่เม็ดดินเม็ดทรายอีกต่อไปแล้ว ฐานะของท่านเวลานี้แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก..”
  “ก่อนที่ท่านจะกลับเข้าตระกูลหลิงในคืนนั้นตระกูลหลิงมีแต่ความท้อแท้สิ้นหวัง แต่นับจากคืนนั้นเป็นต้นมา ทุกคนต่างก็มีกำลังใจขึ้นมาจากเดิม แม้นายผู้เฒ่าจะยังไม่ประกาศให้กับคนภายนอกรู้ แต่ท่านก็นับว่าเป็นคนของตระกูลหลิงแล้ว!”
  “ชาวจีนเรามีคำพูดว่ารวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย”
  “เวลานี้ตระกูลหลิงมีเรื่องต้องทำมากมายหากคนในตระกูลรักใคร่ปรองดอง และสามัคคีกัน เว้นแต่ตระกูลหลงกับตระกูลเย่แล้ว ตระกูลหลิงก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใครอีก!”
  “นายน้อยใหญ่เป็นหลานชายคนโตของตระกูลหลิงเขาเป็นลูกชายคนโตของท่านผู้นำตระกูล ด้วยการเลี้ยงดูจึงโตมาเป็นเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ..”
  “แต่นั่นก็เป็นปัญหาที่ตระกูลใหญ่หลายตระกูลต่างก็ประสบพบเจออาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา..”
  “เพราะฉะนั้น..”
  เหลล่ากุ่ยพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนอย่างระมัดระวังก่อนจะพูดต่อว่า “เพราะฉะนั้น นายน้อยสี่ไม่สมควรลดตัวลงไปอยู่ในระดับเดียวกันกับนายน้อยใหญ่..”
  สิ่งที่เหล่ากุ่ยเป็นกังวลมากที่สุดในเวลานี้ก็คือเรื่องที่หลิงห่าวกับหลิงหยุนจะไม่สามารถเข้ากันได้เพราะหากทั้งคู่เข้ากันไม่ได้ ตระกูลหลิงคงต้องปั่นป่วนวุ่นวายไม่น้อย อีกทั้งเวลานี้หลิงเจิ้นซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันก็ยังเป็นพ่อของหลิงห่าวอีกด้วย!
  ถึงแม้หลิงหยุนจะสามารถสังหารคนได้อย่างง่ายดายแต่นั่นก็คือคนนอก! หากเป็นคนภายในครอบครัว หลิงหยุนจะสามารถสังหารหลิงห่าวได้เพียงเพราะความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆอย่างนั้นหรือ
  หากเป็นเช่นนั้นนายผู้เฒ่าจะรู้สึกเช่นใดกัน
  เหล่ากุ่ยนั้นจงรักภักดีต่อตระกูลหลิงอย่างสุดหัวใจเขาหาโอกาสที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้หลิงหยุนได้เข้าใจ แต่ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อหลิงลี่ เพื่อตระกูลหลิง แล้วก็เพื่อฐานะของหลิงหยุนในวันข้างหน้า
  และช่วงเวลาเช่นนี้..ตระกูลหลิงไม่อาจจมอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายได้อีก!
  หลังจากที่อธิบายให้กับหลิงหยุนฟังแล้วเหล่ากุ่ยก็รีบพูดต่อทันที “เรื่องในคืนนั้น นายผู้เฒ่ารู้สึกผิดหวังในตัวนายน้อยใหญ่อย่างมากเช่นกัน และได้สั่งให้เขาเข้าไปทำงานในหน่วยเทพอินทรีย์แล้ว..”
  หลิงหยุนนั้นไม่ได้สนใจที่จะทำความเข้าใจในคำพูดของเหล่ากุ่ยเลยเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “ให้หลิงห่าวเข้าไปทำงานกับหน่วยเทพอินทรีย์อย่างนั้นรึ”
บทที่ 816 : กลับไปใช้ชีวิตแบบหนุ่มเจ้าสำราญ!
  ในคืนวันนั้น..คนตระกูลหลิงทั้งหมดเกือบจะถูกตระกูลเฉินสังหารตาย ทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพนองเลือด มีเพียงหลิงห่าวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์
  หลิงลี่รู้สึกผิดหวังในตัวหลิงห่าวมากและในความคิดของหลิงลี่ หลิงห่าวก็ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลหลิงคนต่อไป..
  ตรงข้ามกับหลิงหยุน..แม้เขาจะไม่ปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงคนต่อไป แต่ตำแหน่งนี้ก็จะเป็นหลิงห่าวไปไม่ได้แล้วอย่างแน่นอน
  ประโยคสุดท้ายที่เหล่ากุ่ยพยายามจะบอกกับหลิงหยุนก็คือว่าเวลานี้คนในตระกูลหลิงต่างก็พากันส่ายหน้าให้กับหลิงห่าว..
  และสำหรับการเป็นหลานชายคนโตแห่งตระกูลหลิงมานานสิ่งเหล่านี้ไม่แตกต่างจากการที่เขาถูกขับออกจากตระกูลเลยแม้แต่น้อย
  หลิงหยุนถามต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก“แล้วท่านลุงว่ายังไงบ้างล่ะ”
  ‘ท่านลุง’ที่หลิงหยุนพูดถึงนั้น แน่นอนว่าย่อมหมายถึงหลิงเจิ้นซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน..
  เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“จะว่าอย่างไรได้เล่า! ก็ต้องส่งตัวนายน้อยใหญ่ไปทำงานที่หน่วยเทพอินทรีย์ตามคำสั่งน่ะสิ..”
  หลิงหยุนครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดกับเหล่ากุ่ยว่า“เหล่ากุ่ย.. ท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้าแค่ถามดูเท่านั้น..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ถามต่อว่า“เหล่ากุ่ย.. ท่านบอกว่าเอาตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยมาขังไว้ที่นีใช่หรือไม่”
  เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมกับพยักหน้า“ใช่แล้ว.. ที่คลังอาวุธตระกูลหลิงแห่งนี้ไม่เพียงเป็นโรงงานผลิตอาวุธ แต่ยังใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวได้อีกด้วย..”
  หลังจากที่จับตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยได้ในคืนนั้นหลิงหยุนก็ได้สั่งให้เหล่ากุ่ย เพียร์ซ และเอ็ดเวิร์ดนำตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยไป แต่ได้สั่งไม่ให้นำตัวของมันกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลหลิง เหล่ากุ่ยจึงนำตัวของมันมาขังไว้ที่นี่..
  หลิงหยุนพยักหน้า“ถ้าเช่นนั้นก็ดี.. เอาตัวพวกมันสองคนเข้าไปขังด้วยกัน!”
  เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า..”
  จากนั้นทั้งเหล่ากุ่ยและหลิงหยุนต่างก็ขับรถของตนเองเข้าไปในโรงงานก่อนจะค่อยๆขับเข้าไปจอดในบริเวณโกดังว่างเปล่า
  หลังจากที่ประตูโกดังค่อยๆปิดลงมาอย่างช้าๆเหล่ากุ่ยกับหลิงหยุนก็ได้ลงจากรถ และจับร่างของเฉินเซินกับไห่ซานโยนลงไปกองที่พื้น
  เหล่ากุ่ยมองสภาพของทั้งคู่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและได้แต่แอบนับนิ้วอยู่เงียบๆคนเดียว
  ‘เฉินไห่คุน..เฉินเจี้ยนจื่อ.. เฉินเจี้ยนกุ่ย.. แล้วก็เฉินเซิน..’
  คนตระกูลเฉินทั้งสี่นั้นถูกสังหารตายไปสองและถูกจับเป็นอีกสอง..
  เช่นนี้แล้วตระกูลเฉินยังจะกล้าโจมตีตระกูลหลิงอีกงั้นหรือ
  เวลานี้ตระกูลเฉินเหลือเพียงเฉินจิ้งเทียนซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนก่อนเฉินไห่เผิง – ผู้นำตระกูลเฉินคนปัจจุบัน และลูกชายคนโตของเขาเฉินเจี้ยนห่าว แล้วก็เฉินไห่ซัน
  ทั้งสี่คนนั้น..คนหนึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 คนต่อไปอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6 และระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 และระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 ตามลำดับ
  แต่ตระกูลเฉินก็ยังมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดอีกหนึ่งคนซึ่งก็คือน้องชายของเฉินจิ้งเทียนชื่อว่า..เฉินจิ้งเฉวียน เขาเป็นสมาชิกของหน่วยนภา และฝีมือของเขานั้นก็สูงส่งเกินกว่าที่ผู้ใดจะหยั่งรู้ได้
  แต่ที่แน่ๆกำลังภายในของเฉินจิ้งเฉวียนนั้น ไม่น่าจะต่ำกว่าระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-9 อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีเวทย์มนต์อีกด้วย
  เหล่ากุ่ยมองไปที่ท้ายรถของหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมาทันที“นายน้อยสี่.. ทะเบียนรถของท่านล่ะ”
  หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ“จากนี้ไปข้าจะขับเฉพาะรถที่ไม่ติดป้ายทะเบียนเท่านั้น..”
  “อ่อ..”เหล่ากุ่ยถึงกับหัวเราะเสียงดังทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุน
  บนถนนไฮเวย์มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่มากมายหลายตัวและทุกตัวล้วนแล้วแต่เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เนต รถที่วิ่งอยู่จะสามารถถูกตรวจสอบได้ทันที แลละสามารถถูกจับตามองได้อยู่ตลอดเวลา หลิงหยุนเรียนรู้เรื่องนี้มาด้วยตัวเอง..
  และสำหรับหลิงหยุนแล้วเพียงแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ!
  จากนั้นหลิงหยุนก็ถามต่อว่า“เหล่ากุ่ย.. ข้าจะทำเช่นไรจึงจะไม่ต้องถูกหน่วยงานในประเทศนี้ตรวจสอบประวัติจากบัตรประชาชนของข้าได้!”
  เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สร้างความปวดหัวให้กับหลิงหยุนอย่างมากจะทำลายทิ้งก็ไม่ได้ เพราะยังคงต้องใช้ในชีวิตประจำวัน..
  เหล่ากุ่ยตอบกลับยิ้มๆ“นายน้อยสี่.. เรื่องนี้ต้องตำหนิข้าที่ประมาทเลินเล่อเอง! ความจริงแล้วประวัติของคนในเจ็ดตระกูลใหญ่นั้น จะไม่ถูกบันทึกไว้ในสารบบเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป..”
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น“อะไรนะ! มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?!”
  เหล่ากุ่ยหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“หากเป็นเจ็ดตระกูลใหญ่แล้วไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ ตระกูลต่างๆจะแก่งแย่งกันไปทำไมเล่า!”
  “อย่างผู้ที่เป็นเสาหลักของตระกูลหลงกับตระกูลเย่ท่านปู่และท่านลุงของท่าน แม้แต่หน่วยเทพอินทรีย์ก็ยังไม่อาจค้นพบประวัติได้..”
  หลิงหยุนทั้งตกใจและตื่นเต้น“แล้วใครบ้างที่จะสามารถค้นพบได้”
  “หน่วยมังกรกับหน่วยนภา!”
  หน่วยมังกรกับหน่วยนภานั้นเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดูแล และสอดส่องความปลอดภัยของประเทศจีน และบุคคลอันดับหนึ่งของประเทศนี้ สิทธิพิเศษของผู้ปฏิบัติภารกิจในหน่วยนภากับหน่วยมังกรนั้น นับว่ามากมายกว่าหน่วยเทพอินทรีย์หลายเท่านัก
  “สำหรับคนธรรมดาทั่วไปในประเทศนี้บัตรประชาชนก็เปรียบเสมือนแฟ้มประวัติของคนผู้นั้น! เพียงแค่เลขบัตรประชาชนแค่อย่างเดียว ทางการก็สามารถตรวจสอบประวัติของคนผู้นั้นย้อนกลับไปได้ถึงสิบแปดชั่วคนเลยทีเดียว!”
  “แต่สำหรับผู้ที่ทำงานในองค์การพิเศษเหล่านี้ประวัติของพวกเขาก็จะถูกแยกไปเก็บในส่วนอื่น และบางคนที่ปฏิบัติภารกิจลับ ก็จะไม่สามารถตรวจพบแฟ้มประวัติของคนเหล่านี้ได้!”
  “และหากต้องการที่จะเข้าไปดูประวัติของคนเหล่านี้ก็ต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน..”
  หลิงหยุนได้ฟังจึงรีบยกมือขึ้นขัดจังหวะและถามขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน.. ถ้าไม่พบประวัติในหมายเลขบัตรประชาชนของคนเหล่านั้น แล้วคนพวกนั้นจะทำธุรกรรม หรือใบขับขี่ได้อย่างไรกัน”
  เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมกับอธิบายต่อว่า“ได้สิ.. เพราะบัตรประชาชนที่คนเหล่านั้นถือ สามารถใช้ทำธุรกรรม หรือใช้ในทางราชการได้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่าหากคิดที่จะใช้หมายเลขบัตรประชาชนตรวจสอบหาประวัติของคนผู้นั้น.. ก็คงทำได้แค่ฝันลมๆแล้งๆเท่านั้น!”
  เมื่อหลิงหยุนได้ฟังถึงกับเข้าใจได้ทันที“อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นบุคคลสุดพิเศษ..”
  หลิงหยุนถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น“แล้วมีใครสามารถตรวจสอบประวัติของคนผู้นั้นได้บ้างหรือไม่ แล้วตรวจสอบได้ลึกเพียงใด?!”
  เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“มีข้อมูลบางอย่างที่สามารถถูกตรวจสอบได้โดยบางคนบางกลุ่ม และมีทั้งที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้เลย.. อย่างเช่นบุคคลอันดับหนึ่งของประเทศนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ข้อมูลของเขาได้เลย..”
  “เรียกได้ว่าหากสื่อไม่รายงาน ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าบุคคลอันดันหนึ่งนี้อยู่ที่ใหน”
  หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดว่าการเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในประเทศนี้ช่างมีอภิสิทธิ์มากเสียจริงๆ แต่แล้วก็รีบหันไปถามเหล่ากุ่ย
  “เฮ้อ..ถ้าข้ามีอภิสิทธิ์เช่นนี้บ้างก็ดี!”
  เหล่ากุ่ยหัวเราะ“ท่านก็ต้องเข้าไปทำงานในกลุ่มนภา จะปฏิบัติภารกิจก็ต่อเมื่อเกิดเหตุที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศเท่านั้น!”
  หลิงหยุนถึงกับพูดอะไรไม่ออกและแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการทำเช่นนั้นแน่ๆ แต่การที่เขาสามารถเดินทางไปใหนมาใหนได้โดยไม่ต้องมีเอกสารพวกนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับได้อยู่อย่างอิสระในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่
  แต่ถึงกระนั้น..การเข้าร่วมกับหน่วยนภาก็ยังไม่ใช่จุดที่เขาต้องการ ตราบใดที่อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งอย่างที่หาใครยากจะเทียบได้ ถึงตอนนั้นยังจะมีใครกล้าตรวจสอบอะไรเขาอีกเล่า!
  และการที่จะอยู่ในจุดนั้นได้หลิงหยุนก็เพียงแค่ต้องเข้าสู่ขั้นนวะพลังชี่ให้ได้ เพราะเมื่อถึงตอนนั้น เขาไม่เพียงสามารถเหาะไปใหนมาใหนได้อย่างอิสระ แต่ยังมีวิชาพลางตัวขั้นสูงที่ทำให้ผู้คนมองไม่เห็นเขาอีกด้วย..
  เหล่ากุ่ยได้แต่ยิ้มเมื่อพอจะรู้ว่าหลิงหยุนกำลังนึกสนุกอะไร..
  “หรือนายน้อยสี่สนใจที่จะเข้าทำงานในหน่วยนภางั้นรึ”
  หลิงหยุนรีบโบกมือปฏิเสธทันที“ ไม่.. ไม่มีทาง.. แล้วข้าก็ไม่สนใจด้วย!”
  เหล่ากุ่ยมองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“นายน้อยสี่.. ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้ให้นายผู้เฒ่าทราบ และจะรีบจัดการเรื่องเอกสารพิเศษเหล่านี้ให้ท่านอย่างเร็วที่สุด..”
  “แต่ก่อนที่ฐานะที่แท้จริงของท่านจะประกาศออกสู่โลกภายนอกเอกสารบางอย่างก็ต้องเริ่มจากตระกูลฉิน..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าเข้าใจดี”
  เมื่อคิดถึงเรื่องที่จะได้อยู่อย่างอิสระไม่ต้องถูกตรวจเอกสารบ้าบอเหล่านี้ หลิงหยุนก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก..
  เมื่อนึกถึงอิสรภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นหลิงหยุนก็ฉีกยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อย เหล่ากุ่ยมองแล้วก็ได้แต่แอบคิดว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลิงหยุนยิ้มได้กว้างขนาดนี้..
  ‘เด็กหนุ่มอายุสิบแปดผู้นี้ช่างเป็นคนธรรมดาสามัญแล้วก็บริสุทธิ์นัก!’
  “นายน้อยสี่..ท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้กับท่านโดยเร็วที่สุด!”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยแล้วสั่งเหล่ากุ่ยว่า “อ่อ.. ท่านกลับไปบอกท่านปู่ด้วยว่า ข้าสั่งให้ถังเมิ่งจองตั๋วเครื่องบินกลับจิงฉูให้แล้ว ตอนแรกข้าคิดจะกลับคืนนี้เลย แต่เพราะเปลี่ยนใจพาเจ้าสองคนนั่นมาขังไว้ที่นี่ ข้าก็เลยจะบินกลับจิงฉูพรุ่งนี้เย็นๆ”
  เหล่ากุ่ยถามเสียงเย็น“กลับจิงฉู กลับไปทำไมรึ? หรือจะเป็นเพราะเรื่องผลการสอบเอนทรนซ์?!”
  หลิงหยุนมาปักกิ่งเพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากช่วยเกาเฉินเฉินออกมาได้แล้วก็จะกลับจิงฉูอย่างนั้นนหรือ
  ปู่ของเขาคงไม่ต้องการให้หลิงหยุนทำเช่นนั้นแน่!
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าก็จะกลับไปใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเพลย์บอยที่มีอภิสิทธิ์มากมายในจิงฉูน่ะสิ!”
  เวลานี้หลิงหยุนไม่เพียงเป็นทายาทตระกูลหลิงที่ยังไม่ถูกเปิดเผยแต่ยังเป็นนายน้อยตระกูลฉิน สิทธิพิเศษที่เขาจะได้รับในฐานะนายน้อยสองตระกูลใหญ่ย่อมต้องมีมากมายอย่าแน่นอน..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร