เมื่อต้องพูดถึงสำนักดาบสวรรค์ดูเหมือนฉินตงเฉี่วยจะมีทีท่าลังเลอึกอักที่จะพูดถึง และแทบจะไม่สนใจความงดงามของทะเลสาบตรงหน้าอีก นางรีบหันหลังเดินกลับออกไปทันที..
แต่หลิงหยุนยังคงวิ่งตามไปและร้องถามไม่หยุด “น้าหญิง.. ศิษย์พี่ใหญ่ของท่านอยู่ขั้นใหนแล้วงั้นรึ”
นี่เป็นเรื่องสำคัญมากและหลิงหยุนจำเป็นต้องถาม..
ฉินตงเฉี่วยยังคงไม่หยุดเดินแต่ก็ตอบกลับไปห้วนๆ “ข้าไม่รู้!”
หลิงหยุนร้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ไม่รู้งั้นรึ เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ฉินตงเฉี่วยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหยุดเดิน และหันไปอบรมหลิงหยุนทันที “เจ้าเด็กดื้อ.. ในยุทธภพมีผู้ใดเที่ยวถามขั้นของผู้อื่นเหมือนเช่นเจ้า เจ้าไม่รู้รึว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ?”
“เอ่อ..”
ใบหน้าหล่อเหลาของหลิงหยุนถึงกับแดงก่ำและพูดอะไรไม่ออก..
สิ่งที่ฉินตงเฉี่วยตำหนิเขาอยู่นั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง..เพราะการสอบถามขั้นความแข็งแกร่งของผู้อื่นเช่นนี้ หากรู้ไปถึงหูของคนผู้นั้น อีกฝ่ายอาจคิดว่าหลิงหยุนต้องการท้าประลองด้วยก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทั้งคู่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อน ก็อาจคิดได้ว่าหลิงหยุนต้องการมาแก้แค้นก็ย่อมได้!
อีกทั้งในยุทธภพนั้น..เหล่าชาวยุทธต่างก็ชอบเหยียบย่ำกันเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง หากให้ผู้อื่นล่วงรู้ขั้นง่ายๆ ก็คงมียอดฝีมือมากมายที่ต้องการจะประลองด้วย เพื่อหวังสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง..
และต่อให้ในการประลองนั้นตนเองเป็นฝ่ายชนะแต่อาวุธย่อมไร้ตา หากพลาดพลั้งทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเข้า ก็คงสร้างความเจ็บแค้นใจให้อย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นการประลองย่อมมีแพ้มีชนะ ผู้แพ้ย่อมต้องเกิดความเคียดแค้น และหาโอกาสกลับมาล้างแค้นในวันข้างหน้าอยู่ดี..
ดังนั้น..การสอบถามเรื่องขั้นความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้น จึงเป็นเรื่องที่ชาวยุทธไม่พึงถามกัน..
อีกอย่าง..ตามกฎของยุทธภพแล้ว ห้ามไม่ให้ชาวยุทธแสดงวรยุทธต่อหน้าผู้คนธรรมดา เว้นแต่จะถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ระหว่างความเป็นความตาย หาไม่แล้ว.. พวกเขาย่อมเลือกที่จะปิดบังซ่อนเร้นความแข็งแกร่งของตนเอง
หลิงหยุนเข้าใจกฎของยุทธภพข้อนี้ดีแต่แล้วก็ร้องถามออกมาอย่างแปลกใจ..
“น้าหญิง..แต่กัวเสี่ยวเทียนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของท่านไม่ใช่รึ! ถ้าเช่นนั้นท่านก็น่าจะรู้สิ?!”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังคำถามของหลิงหยุนก็ถึงกับหันขวับมาทำเสียงสูงใส่หลิงหยุนทันที “ใครบอกเจ้าว่ากัวเสี่ยวเทียนเป็นพี่ข้า”
ฉินตงเฉี่วยหยุดเดินและหันมาทำเสียงสูงใส่หลิงหยุน “เขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ข้า แล้วข้าต้องรู้ขั้นของเขางั้นรึ!”
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่งุนงงสงสัยของหลิงหยุนและดูเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรจริงๆ ฉินตงเฉี่วยจึงได้อธิบายให้ฟังว่า
“หลิงหยุน..เจ้าคงคิดว่าข้าไปเรียนวิชาที่สำนักดาบสวรรค์ คงจะเหมือนกับอยู่บ้านของตัวเองสินะ! คงคิดว่าจะมีคนคอยปรนนิบัติดูแล และเป็นดั่งองค์หญิงที่มีแต่คนคอยเอาอกเอาใจ..”
“แต่ความจริงล้วนตรงกันข้าม..ทุกสำนักล้วนแล้วแต่มีกฏระเบียบที่เข้มงวด กว่าจะได้ร่ำเรียนกับอาจารย์ต้องทนต่อความยากรำเค็ญมากมาย..”
“ข้าอาจจะเป็นเหมือนดั่งเพชรล้ำค่าเมื่อยู่ตระกูลฉินแต่เมื่ออยู่ที่สำนักดาบสวรรค์นั้น ข้าก็เป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาๆ ที่เพิ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นคนหนึ่งเท่านั้น..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ฉินตงเฉี่วยดูเหมือนจะรู้สึกสะเทือนใจมาก นางยิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะพูดต่อว่า
“ข้าเรียนรู้เพลงดาบในสำนักดาบสวรรค์มายี่สิบปีวรยุทธของข้าล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ถ่ายทอดให้ แต่หลังจากที่ข้าสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ ท่านอาจารย์จึงได้ยอมรับข้าในฐานะศิษย์สำนักดาบสวรรค์..”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง..”
เพียงแค่ได้ฟังสิ่งที่ฉินตงเฉี่วยเล่าหลิงหยุนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดนางจึงนับถือกัวเสี่ยวเทียนดั่งเช่นอาจารย์ นั่นเพราะวรยุทธของนางล้วนแล้วแต่เป็นกัวเสี่ยวเทียนถ่ายทอดให้ เช่นนี้แล้ว.. มีหรือที่นางจะกล้าถามขั้นของกัวเสี่ยวเทียน
ยิ่งไปกว่านั้น..สีหน้าที่เศร้าสลดของฉินตงเฉี่วยก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า นางต้องทนฝึกวรยุทธอยู่ที่สำนักดาบสวรรค์มาตลอดยี่สิบปีด้วยความทุกข์ตรมมากเพียงใด..
ในใจของหลิงหยุนนั้นเกิดความรู้สึกสงสารจับใจแต่ริมฝีปากก็แสยะยิ้มออกมาอย่างเหยียดหยัน..
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฉินตงเฉี่วยดังขึ้น“ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าขั้นของศิษย์พี่ใหญ่กัวนั้นอยู่ขั้นใดกันแน่! แต่เมื่อห้าปีก่อนในพิธีประลองยุทธของสำนักดาบสวรรค์ ข้ายังจำได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ใช้เพียงกระบี่ไม้ แต่กลับสามารถเอาชนะศิษย์ชาย และศิษย์หญิงทั้งสี่คนได้ภายในเพียงแค่สิบกระบวนท่า..”
“หากให้ข้าเดา..เวลานั้นศิษย์พี่ใหญ่น่าจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8 แล้ว..”
แต่ภายในใจของหลิงหยุนกำลังคิดว่า‘หากกัวเสี่ยวเทียนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8 ได้เมื่อห้าปีที่แล้ว หากฝึกฝนได้อย่างล้าช้ามาก.. เวลานี้ก็น่าจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 แล้วเป็นแน่!’
เพียงแค่สำนักกระบี่สวรรค์ก็ยังมียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 แล้วหรือ
หลังจากที่ประเมินอยู่ในใจคร่าวๆหลิงหยุนถึงกับหนักอึ้งขึ้นมาทันที และได้แต่คิดในใจว่าเขาไม่ควรประมาทความแข็งแกร่งของสำนักต่างๆ
หลิงหยุนถอนหายใจเล็กน้อยแล้วจึงถามออกไปว่า “แล้วศิษย์พี่ใหญ่ของท่านมีอุปนิสัยใจคอเช่นใด พอจะพูดจาด้วยได้หรือไม่?”
ในเมื่อถามเรื่องขั้นกำลังภายในไม่ได้หลิงหยุนจึงเปลี่ยนมาถามถึงอุปนิสัยของกัวเสี่ยวเทียนแทน เพื่อหวังที่จะเปลี่ยนอารมณ์ของฉินตงเฉี่วยไม่ให้เศร้าหมองนัก
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทันทีที่ได้ยินคำถามของหลิงหยุนสีหน้าของฉินตงเฉี่วยกลับดูเหมือนหนักใจยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หากเจ้ายอมพูดกับศิษย์พี่ใหญ่ดีๆข้าก็คงไม่ต้องลำบากใจมาก..”
“ศิษย์พี่ใหญ่มีหน้าที่ผดูแลความเรียบร้อยภายในสำนักดาบสวรรค์จึงค่อนข้างเข้มงวดกับกฎระเบียบ ในสายตาของเขามีเพียงแค่ขาวกับดำ และเชื่อว่ามีเพียงธรรมะกับอธรรมเท่านั้น ทันทีที่ได้ยินว่ากระบี่โลหิตแดนใต้ปรากฏขึ้นแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าจึงมาที่นี่…”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..‘ปัญหาใหญ่ทีเดียว! มิน่า.. น้าหญิงถึงได้มีสีหน้ากระวนกระวายใจเช่นนั้น!’
แม้ฉินตงเฉี่วยจะไม่พูดออกมาตรงๆแต่หลิงหยุนก็ดูออกว่านางไม่มีความสุขเลยเมื่ออยู่ในสำนักดาบสวรรค์ ในเมื่อไม่ความสุข เหตุใดจึงไม่ออกมา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หลิงหยุนจึงยิ้มออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่าของฉินตงเฉี่วยเป็นการปลอบโยน แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“น้าหญิง..ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่เปรียบเสมือนอาจารย์ของท่าน ข้าเชื่อว่าเขาคงจะไม่ใจร้ายกับข้านัก..”
หลิงหยุนเห็นฉินตงเฉี่วยยิ้มออกมาแต่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร จึงพูดต่อว่า “พวกเรากลับบ้านกันดีกว่า.. ท่านควรจะต้องกลับไปพักผ่อนเอาแรง!”
ทั้งสองคนจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้นหลิงหยุนเดินนำฉินตงเฉี่วยไป แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เขาก็หันกลับไปถามว่า
“น้าหญิง..ครั้งนี้หลิวซุ่ยฟงไม่มาด้วยรึ”
ฉินตงเฉี่วยยังคงมีสีหน้ากังวลใจอย่างมากและตอบกลับด้วยความระมัดระวัง “มา..”
ระหว่างทางกลับบ้านนั้นทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หลิงหยุนวางแผนอยู่ในใจเงียบๆ คืนนี้เขาตั้งใจจะแอบตามฉินตงเฉี่วยไปที่เขาหลงเหมิน แต่จำเป็นจะต้องเตรียมการบางอย่างก่อนออกเดินทาง..
เมื่อกลับไปถึงบ้าน..หลิงหยุนก็พบว่าถังเมิ่งได้เรียกหลี่ยี่กับเจียวเฟยมาที่บ้าน แทบไม่ต้องถาม.. เขารู้ว่าทันทีว่าเพราะเหตุใดถังเมิ่งจึงสั่งให้ทั้งคู่มาที่นี่ หลิงหยุนพยักหน้าให้ทั้งสองคนตามเขาไปที่ห้องออกกำลังกาย..
พื้นที่ภายในห้องยิมของบ้านเลขที่-1นั้นค่อนข้างใหญ่โตก็จริง แต่ภายในห้องกลับอัดแน่นด้วยกระสอบสมุนไพร และกระดาษเขียนยันต์ หลิงหยุนไม่ปล่อยให้เสียเวลา.. เขาล้วงมือลงไปในกระสอบเปล่า และเรียกปืน Desert Eagle ออกมากว่าสามสิบกระบอก..
หลิงหยุนไม่สนใจสีหน้าตกอกตกใจของหลี่ยี่กับเจียวเฟยแต่หันไปพูดกับถังเมิ่งแทน..
“ถังเมิ่ง..ปืนทั้งหมดนี้นำไปแจกจ่ายให้กับพี่น้อง แต่จำไว้ว่าฉันไม่อนุญาตให้ใช้ปืนกับคนธรรมดา ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนดีหรือว่าคนเลว..!”
ถังเมิ่งพยักหน้ายิ้มอย่างตื่นเต้นและทำสีหน้าบอกว่าไม่มีปัญหา..
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปพูดกับหลี่ยี่“หลี่ยี่.. ข้ายังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เจ้ายังเป็นมือสังหารให้กับองค์กรนักฆ่า เจ้าใช้ปืนได้เก่งที่สุดไม่ใช่รึ”
หลี่ยี่เป็นคนไม่ค่อยพูดเขาจึงเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น..
หลิงหยุนจึงยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า“ดีมาก.. ถ้าเช่นนั้นงานสอนพี่น้องในแก๊งให้ใช้ปืน ข้าขอมอบหมายให้กับเจ้า!”
หลี่ยี่มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจและรีบพยักหน้าพร้อมกับตอบอย่างเคารพนบนอบ “น้อมรับคำสั่ง..”
“พวกเจ้าไปได้แล้ว..”
หลิงหยุนยกมือซ้ายขึ้นโบก..เป็นการบอกให้ทั้งคู่นำกระสอบปืนกลับไปได้!
ถังเมิ่งคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะให้ทั้งสองคนนำปืนกลับไปจึงรีบวิ่งตามไป แต่แล้วก็วิ่งกลับมา..
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า“ฉันเคยบอกนายแล้วใช่มั๊ยว่า.. ไม่ให้นายยุ่งเรื่องของแก๊งมังกรเขียว นายลืมแล้วหรือไง?”
ถังเมิ่งตอบยิ้มๆ“ฉันก็แค่มาช่วยอาปิง..”
“เกิดอะไรขึ้นกับอาปิง”
“แก๊งมังกรเขียวมีเรื่องมากมายตอนนี้เขากำลังไปจัดการอยู่..”
หลิงหยุนได้แต่คิดว่าอาปิงเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแต่กลับไม่มีวรยุทธเช่นนี้ ศัตรูคงจะไม่ได้หมายหัวเขานัก จึงเพียงแค่พยักหน้า
“เอาล่ะ..นายจัดการย้ายของพวกนี้เข้าไปในครัว!” หลิงหยุนสั่งพร้อมกับชี้ไปทางกระสอบสมุนไพรสองสามกระสอบ
ถังเมิ่งร้องคร่ำครวญออกมาทันที“พี่หยุน.. นี่พี่จะทำอะไรอีกแล้ว”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“จะทำอะไรได้นอกจากปลุกเสกยันต์!”…ไอลีนโนเวล
ตลอดทั้งบ่ายหลิงหยุนใช้เวลาปลุกเสกยันต์กับถังเมิ่งไม่ว่าจะเป็นยันต์บำบัด ยันต์เตโช ยันต์เกราะ ยันต์เพชร และยันต์เทวะเหิน
เวลาสี่ทุ่มตรง..ฉินตงเฉี่วยเปลี่ยนมาสวมชุดที่ทำจากผ้าแพรไหมดำ ในมือถือกระบี่เตรียมพร้อมออกไปที่เขาหลงเหมิน
หลิงหยุนหนิงหลิงยู่ และคนอื่นๆ ต่างก็เดินออกไปส่งฉินตงเฉี่วยที่หน้าประตู..
หลิงหยุนร้องบอกฉินตงเฉี่วยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“น้าหญิง.. ท่านสวมชุดดำเช่นนี้ออกจะดึงดูดสายตาผู้คน ให้ข้าไปส่งท่านที่ตีนเขาหลงเหมินไม่ดีกว่ารึ”
ฉินตงเฉี่วยเหลือบมองหลิงหยนุพร้อมกับตอบไปว่า“อะไรกัน เดี๋ยวนี้แม้แต่วิชาตัวเบาของข้าก็ทำให้เจ้าเชื่อมั่นไม่ได้แล้วรึ? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? หากเจ้ากล้าตามข้าไปที่เขาหลงเหมิน อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะเสียงดังขณะที่ฉินตงเฉี่วยร้องตะโกนบอกเขา “ไม่ต้องห่วง.. ข้าจะกลับมาเล่าให้เจ้าฟังแน่นอน ข้าไปล่ะ!”
พูดจบ..ฉินตงเฉี่วยก็กระโดดหายลับตาไปทันที
หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยจากไปแล้วหลิงหยุนก็ได้แต่ยืนนิ่ง และคิดในใจว่า
‘ข้าเชื่อใจท่าน..แต่ไม่เชื่อใจศิษย์พี่ใหญ่ของเท่าน’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร