อัญมณีเข้าใจความหมายทันที แม้ว่าหัวใจจะไม่ยินยอม แต่ยังปิดปากเงียบอย่างเชื่อฟัง
ทว่าแองจี้ได้ยิน สีหน้ากลับเปลี่ยนไปจนย่ำแย่หนักกว่าเดิม เธอกัดฟันพูด “อัญมณีแกอย่าหยิ่งจองหองเกินให้มาก! ยังมีนังญาธิดาอีกคน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะไม่จบสวยๆ กันแบบนี้แน่!”
เธอพูด พร้อมทั้งมองมาทางบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง และออกคำสั่งเสียงเย็นเฉียบ “โจ โทรศัพท์ไปเรียกคนมา!”
วันนี้เธออยากจะดูสิว่า ญาธิดากับอัญมณีนังผู้หญิงสองคนนี้จะมีความสามารถมากเพียงใด!
เมื่อได้ยินแองจี้เรียกคนมาเพิ่ม ญาธิดาหวั่นใจทันที เดิมทีก็เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะดึงภวินท์กับพายุลากเข้ามาเกี่ยวพันด้วย ส่วน แองจี้ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ขืนเรื่องเป็นเช่นนี้ต่อไป โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมลดละ เกรงว่าเรื่องมันจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่โตหนักกว่าเดิม
ญาธิดาคาดเดาความคิดของภวินท์ไม่ออก เธอหวั่นใจอยู่บ้าง พลางยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ และคอยดึงชายเสื้อของชายหนุ่ม
ภวินท์หลุบตาลง จึงมองเห็นความวิตกกังวลที่ฉายอยู่ในแววตาของหญิงสาว พลันพูดปลอบใจด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยไร้ความหวั่นไหว “ไม่เป็นไร”
มีเขาอยู่ทั้งคน ไม่มีวันจะปล่อยให้เธอต้องเกิดเรื่องแน่
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองดวงตาอันดำดิ่งที่ไม่เห็นแววตาของชายหนุ่มคู่นั้น จู่ๆ หัวใจญาธิดาสงบลงเยอะ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหลังและยื่นมือออกไป และจับมืออัญมณีที่อยู่ด้านข้างไว้อย่างแผ่วเบา
จังหวะนี้เอง ภวินท์ก้าวเดินไปทางด้านหน้า พลางจ้องมองแองจี้ที่หยิ่งจองหอง จนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากคุณแองจี้อยากจะต่อ ผมยินยอมอยู่ต่อเพื่อเล่นเป็นเพื่อน”
ถ้าเธอเรียกบอดี้การ์ดมาเพิ่มอีกสี่ห้าคน เกรงว่าพวกเขามาเพิ่มอีกยังไงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขากับพายุสองคน
แองจี้เหลือบตามองเขา และไม่ยอมตอบสักนิด แต่กลับมองบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง และพูดเร่งรัดอย่างหมดความอดทน “รีบโทรเข้าสิ! ให้พวกเขามาที่นี่ทั้งหมด!”
บอดี้การ์ดที่ชื่อโจกำโทรศัพท์ไว้ และเริ่มลังเลอยู่บ้าง “คุณหนู ต้องโทรจริงๆ เหรอ?”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ชัดถึงฐานะของภวินท์ ทว่าแค่มองท่าทางเช่นนี้ ก็รู้ทันทีว่าภูมิหลังของเขาไม่ธรรมดาเลย หากปล่อยให้คุณหนูทำตามใจนิสัยของคุณหนูของตนเองจนทำให้เรื่องบานปลายเป็นเรื่องใหญ่โต เกรงว่าจะไร้วิธีในการอธิบายให้คุณสวิชฟัง
แค่คืนนี้มันเกิดเรื่องบัดซบขึ้นมามากขนาดนี้ แองจี้กำลังโมโหจนหัวร้อน และแทบไร้สติสัมปชัญญะ พลางก้าวมาทางด้านหน้าอย่างโกรธเคือง และแย่งโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของโจมา “แกไม่โทรฉันโทรเอง!”
จู่ๆ เวลานี้เอง กลับมีเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาทางด้านข้าง “รอเดี๋ยว!”
เสียงนี้ดังขึ้น สายตาของทุกคนต่างมองไปตามเสียงทันที ญาธิดาเองก็ไม่ยกเว้น พลางมองไปตามต้นเสียง จังหวะที่เห็นคนอย่างชัดเจน จนเกิดความประหลาดใจเล็กน้อยอยู่ในใจ
เป็นเขานั่นเอง
พลางมองผู้ชายที่ยิ้มจางๆ ที่นั่งอยู่บนรถเข็น ญาธิดาดึงสายตากลับ และมองภวินท์ที่อยู่ด้านข้างตามสัญชาตญาณทันที
ซึ่งเป็นไปตามคาด สีหน้าของเขาหม่นหมองลงเยอะจากการมองด้วยตาเปล่า พลางใช้สายตาเฉียบคมจ้องมองคน น้องชายของเขา---ภูผา
เมื่อเห็นว่าภูผานั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีนายครามเป็นคนเข็นรถเข็นเข้ามา ใบหน้าเขาแสดงรอยยิ้มจางๆ โดยไม่มีพิษมีภัยทำตัวสนิทสนม สายตาจ้องมองมาที่แองจี้
แองจี้ราวกับแปลกใจอยู่บ้าง สีหน้าท่าทางเริ่มเก็บอาการเล็กน้อย “พี่ภูผา ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“มางานตามคำเชิญของเพื่อนคนหนึ่ง เลยขึ้นไปคุยงานกันอยู่ชั้นบน ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอพวกคุณที่นี่เข้า”
เขาพูด พร้อมทั้งมองมาทางญาธิดากับภวินท์ โดยยิ้มให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายเขา “พี่ใหญ่”
แววตาภวินท์ฉายอาการหมดความอดทนออกมา พลางถลึงตาใส่ภูผาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้กล่าวทักทายตอบกลับ
ราวกับภูผาไม่ได้สนใจอากัปกิริยาตอบสนองของเขาสักเท่าไหร่ แต่เขายิ้มให้ญาธิดา จากนั้นก็หันมาทางแองจี้
แองจี้ได้ยินภูผาเรียกภวินท์เช่นนั้น พลันเบิกตาโตด้วยอาการตกใจทันที พลางเอ่ยปากพูด “เขา...คือภวินท์?”
ภูผาพยักหน้าให้เล็กน้อย พลางกระซิบพูดเกลี้ยกล่อม “แองจี้ นี่พี่ใหญ่ฉันเอง คนข้างๆ คือเพื่อนฉัน วันนี้ถือว่าไว้หน้าตาฉันหน่อยแล้วกัน เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว เธอคิดว่าดีมั้ย?”
เขายิ้มอย่างเป็นมิตรบริสุทธิ์จากใจ พูดจามีหลักการ การชั่งน้ำหนักทุกอย่างต่างบีบได้อย่างพอดี ทำให้คนเกิดอาการกระดากปากจนไร้วิธีปฏิเสธ
เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อแองจี้ได้ยินตามนั้น จึงกวาดตามองพวกญาธิดา เมื่อลังเลอยู่สักพัก ถึงได้ยอมตอบตกลง “ก็ได้ ถึงขั้นพี่ภูผาออกปากมาเอง งั้นฉันก็ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บต่อ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...