ญาธิดาได้สติกลับมา พลางเงยหน้ามองคุณหมอชาติ และอ้าปากสอบถาม “คุณหมอชาติคะ ทางฝั่งของคุณมีช่องทางการติดต่อของเขามั้ยคะ?”
คุณหมอชาติส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้พวกคุณเป็นคนติดต่อไปเอง คือผมก็ได้รับแจ้งมาจากคณบดีเท่านั้นเองครับ ซึ่งไม่ได้ติดต่อกับทางคุณหมอเธียรชัยโดยตรง”
เมื่อได้ยินเขากล่าวออกมาเช่นนี้ แววตาญาธิดาหม่นหมองลง และพยักหน้าตอบ “ค่ะ งั้นถึงเวลาดิฉันจะเป็นคนติดต่อทางคุณหมอเธียรชัย เพื่อสอบถามเรื่องหมายกำหนดการจากเขาค่ะ”
“โอเคครับ”
หลังจากออกมาจากห้องทำงานของนายแพทย์แล้ว ญาธิดาไม่มั่นใจเลย หากตอนนี้เธอต้องการทราบถึงการเตรียมการในการผ่าตัดของคุณหมอเธียรชัย ก็ต้องไปหาภวินท์แล้วแหละ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เธอย่อมเชื่อมโยงฉุกคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนก่อน คิดถึงท่าทีของชายหนุ่มที่แสดงสีหน้าเย็นชาและยังให้เธอลงจากรถ ในใจญาธิดาคาดเดาอะไรไม่ได้
ซึ่งในเวลานี้อาศัยความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เขายังจะยอมช่วยเหลือเธออยู่มั้ย?
ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดญาธิดาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา เพื่อเปิดสมุดรายชื่อในโทรศัพท์ ทว่ามองเห็นเบอร์ติดต่อของชายหนุ่มบนหน้าจอ แต่ไม่กล้ากดโทรออกไปจริงๆ
ช่างเถอะ ไว้วันหน้าค่อยคุยกับเขาต่อหน้าแล้วกัน อีกทั้งตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไม่แน่เขาคงพักผ่อนแล้วแหละ
ญาธิดาคิดเช่นนี้ สบายใจขึ้นเยอะ จึงเก็บโทรศัพท์ลง และกลับเข้าห้องพักผู้ป่วยเพื่ออยู่เป็นเพื่อนยติภัทรกับปภาวี ถึงค่อยกลับคอนโด
เช้าวันรุ่งขึ้น ญาธิดามาถึงบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ได้รับแจ้งว่ามีประชุม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปยังต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นสองวันให้หลัง
การเดินทางครั้งนี้มีทั้งหมดเก้าคน นอกจากตัวแทนของแผนกต่างๆ ทั้งหกแผนกแล้ว ยังมีพี่เบลล์เป็นผู้นำทีมที่มากด้วยประสบการณ์ อีกสองคนเป็นเจ้าหน้าที่สำรองที่เพิ่งได้รับการฝึกอบรมจากบริษัท
ในการประชุม พี่เบลล์กล่าวกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอย่างคร่าวๆ เมื่อกำหนดเวลาการเดินทางเป็นที่แน่นอนแล้ว หลังจากประชุมเสร็จ ทุกคนก็คุ้นเคยกันพอประมาณ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุย บรรยากาศดีขึ้นมาก
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้ว ญาธิดาเดินออกมาจากห้องประชุม ด้วยพลังเต็มเปี่ยม สำหรับเธอแล้ว การเดินทางในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสเรียนรู้งานที่ดีที่สุด ซึ่งสามารถต่อยอดได้ดีในการทำงานในภายภาคหน้าของเธอเป็นอย่างมาก
ญาธิดาอารมณ์ดี แต่ในเวลาที่กำลังโดยสารลิฟต์นั้น จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอยังต้องหาโอกาสไปสอบถามภวินท์ถึงเรื่องช่องทางการติดต่อของคุณหมอเธียรชัยแห่งโรงพยาบาลแคปิตอลโฟร์ท คิดแล้วก็เริ่มปวดหัวเล็กน้อย
เพราะอีกสองวันจากนี้เธอต้องเดินทางไปสิงคโปร์ ถึงตอนนั้นต้องยุ่งจนไม่มีเวลา ดังนั้นทางที่ดีที่สุดวันนี้ก็ถามกันให้ชัดเจน การทำเช่นนี้ก็จะทำให้เธอวางใจขึ้นเยอะ
เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ญาธิดาจงใจไม่ไปกินข้าวพร้อมกับชมพู่ รอให้คนในบริษัทน้อยลงหน่อย เธอก็มุ่งหน้าไปยังสำนักงานCEOทันที
เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ เธอก็เห็นเลขาฯนวิยากับผู้ช่วยอีกคนกำลังเดินคุยกันอยู่ ดูจากท่าทางก็คือเตรียมจะออกไปกินข้าว
ญาธิดาลังเลอยู่ชั่วครู่ และเริ่มทักทายเธอก่อน “คุณนวิยาคะ ไม่ทราบว่าคุณภวินท์อยู่ในห้องมั้ยคะ?
นวิยาชะงักไปแวบหนึ่ง และพยักหน้าเล็กน้อย “เขาอยู่...”
เพิ่งพูดได้แค่นี้ ทว่าเธอเริ่มขยับปาก ราวกับมีอะไรอยากจะพูด ทว่าหยุดคำพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดออกไปเสียก่อน
“โอเคค่ะ” ญาธิดาไม่ทันจับสังเกตความผิดปกติของเธอ พลันยิ้มให้เธอ และสาวเท้ามุ่งหน้าเดินไปทางห้องทำงาน
เมื่อเห็นญาธิดาเดินไปไกลแล้ว ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างนวิยาอดใจถามไม่ได้ “พี่ เมื่อกี้นี้มีคนไปหาคุณภวินท์ไม่ใช่เหรอ? เธอเดินดุ่มๆ เข้าไปมันดูไม่ค่อยดีนะ?”
นวิยายกมุมปากอย่างเบื่อหน่าย “ตอนแรกก็อยากจะเตือนเธอแหละ ช่างเถอะ ปล่อยเธอไปเถอะ”
แม้ว่าเธอเป็นเลขานุการคนใกล้ตัวของภวินท์ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ของญาธิดากับภวินท์มันไม่ธรรมดาเลย นีราภาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่แน่อาจมีความเกี่ยวข้องกับเธอได้ สำหรับญาธิดา เธอหลบเลี่ยงได้ก็จะหลบ การไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของพวกเขาถือว่าดีที่สุดแล้ว
ญาธิดาเดินมาหยุดด้านหน้าประตูห้องทำงาน พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นถึงได้ยกมือขึ้นเคาะบานประตู
ภายในห้องไม่มีเสียงชายหนุ่มตอบรับกลับมา ญาธิดาชูมืออีกครั้ง เพื่อเคาะประตู
หรือว่าเขาไม่อยู่เหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...