เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น ได้แต่กัดฟัน เริ่มรู้สึกถึงความหงุดหงิดเงยหน้าและจ้องมองเขา ถามกลับด้วยอารมณ์ที่เข้มขรึมว่า “ต้องทำยังไงถึงจะเรียกว่าจริงใจละ จะให้ฉันคุกเข่าอ้อนวอนคุณใช่ไหม ”
เขารับปากที่จะให้เธอ หากวันนี้ตั้งใจจะทำให้เธอไม่สบายใจอีก จะให้คิดว่ายังไงดีละ
คนอย่างเขาดูเหมือนเป็นคนที่ชอบสนุก ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นใช่ไหม หรือเขากำลังคิดว่าเธอจะเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาและความห่างเหิน ภวินท์ถึงกับตกใจเล็กน้อย ในช่วงเวลานั้นเอง เธอดูเหมือนตัวเม่นที่มีหนามเต็มตัว ท่าทีที่เย็นชา รับรู้ถึงความอันตราย เหมือนถูกหนามที่อยู่บนร่างกายทิ่มแทงมาที่เขา
เสี้ยววินาทีผ่านไป สายตาที่เป็นประกายของเขา ก็เริ่มคลายสีหน้าลง
เขาทำให้เธอโกรธหรือเปล่า ทำไมวันนี้เธอเย็นชาได้ขนาดนี้ เหมือนมีหนามทิ่มแทงออกมาอยู่ตลอดเวลา
ท่าทีของเขาทั้งสองดูจะเย็นชาลง ในพริบตาเดียว บรรยากาศในห้องทำงานเหมือนเย็นยะเยือก เงียบเกินไปแล้ว
และในตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้นมา “ ก๊อกๆ ” เสียงดังขึ้นสองครั้ง เป็นเสียงที่ดังขึ้นจากนวิยานั่นเอง “ คุณภวินท์ มีเอกสารจะให้คุณเซ็นค่ะ ”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยกมือที่กดนามบัตรแผ่นนั้นออก
เมื่อญาธิดาเห็นดังนั้น รีบยื่นมือไปหยิบนามบัตร มองไปที่ภวินท์ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ยิ้มแย้ม “ ขอบคุณค่ะคุณภวินท์”
เมื่อพูดจบ เธอโค้งตัวลงเล็กน้อย และเดินออกไปข้างนอก
ภวินท์ได้เงยหน้าขึ้น มองเงาผู้หญิงที่เดินออกไป ด้วยสายตาที่เป็นประกาย
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าญาธิดาคงเป็นผู้หญิงที่ไม่ต่อต้านอะไร แต่ดูๆแล้วตอนนี้ คงไม่ใช่เป็นแบบที่เขาคิด ถ้าต่อต้านขึ้นมา คงไม่มีใครอยู่ในสายตาเธอแน่ๆ
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหญิงสาวที่ไม่ว่าจะทำอะไรให้สักนิดสักหน่อยก็หน้าแดงเหมือนกระต่ายขาวสักอีก เหอะ ที่แท้ หลังจากเขาสองคนหย่าร้างกัน เธอพึ่งจะเผยธาตุแท้ออกมา กระต่ายขาวที่ไหนกัน เป็นแมวป่าดุร้ายชัดๆ
เมื่อเดินออกมาจากห้องทำงาน ญาธิดาคงถือนามบัตรแผ่นนั้นอยู่ นิ้วก็ลูบไปลูบมาที่นามบัตร รู้สึกวูบวาบที่ฝ่ามือเล็กน้อย
เพื่อที่จะต้องติดต่อไปตามเบอร์นี้ เธอจึงเลิกคิดอะไรบางอย่าง
ในที่สุด เมื่อได้นามบัตรมาแล้ว ความรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ในใจก็คลี่คลายลง
รอเวลาหลังจากเลิกงานแล้ว เธอจะไปโรงพยาบาลหาดร.ยติภัทรกับคุณปภาวี หลังจากนั้นค่อยติดต่อคุณหมอเธียรชัยเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับแผนการการผ่าตัด
พอคิดแบบนี้ ญาธิดาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่ใครจะไปรู้ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน คุณปภาวีก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี
เป็นจังหวะที่ญาธิดาได้คุยปรึกษากับเพื่อนร่วมงานในแผนกพอดี โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นสะเทือน เธอจึงก้มมองดู เมื่อเห็นเป็นเบอร์โทรของคุณปภาวี ก็เกิดความลังเลในการรับสาย แต่พอเห็นเพื่อนร่วมงานที่ยืนรออยู่ข้างๆ เธอจึงรีบตัดสายไปในทันที
หลังจากปรึกษาหารือกับเพื่อนในแผนกแล้ว ก็รอให้เพื่อนเดินออกไป ญาธิดาถึงจะโทรกลับหาคุณปภาวีอีกครั้ง
“ ฮัลโหล แม่ มีอะไรเหรอ”
เมื่อปลายสายรับสาย เธอก็ได้ยินกับน้ำเสียงที่ค่อนข้างดูกังวลใจ “ ธิดา แกเลิกงานแล้วยัง ”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ดูไม่ร่าเริงของคุณปภาวี ญาธิดามีอาการตกใจเล็กน้อย “ ยังเลยค่ะ มีอะไรหรือเปล่า ”
“แกรีบมาโรงพยาบาลตอนนี้ได้ไหม พ่อของแกเขา........”
คุณปภาวีเหมือนจะพูดขาดตอนไป คล้ายกับอาการพูดอะไรไม่ออก
เมื่อญาธิดาได้ยินดังนั้น ใจก็เริ่มสั่นอย่างบอกไม่ถูก มือก็กุมโทรศัพท์ไว้แน่น “ เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ ”
หรือจะเกิดอุบัติเหตุ
“พ่อแก.........ไม่เป็นไรนะ คือ.......” คุณปภาวีเริ่มตะกุกตะกัก พูดยังไงก็ไม่ชัดเจน สุดท้ายก็พูดว่า “ ฉันก็อธิบายไม่ถูก แกรีบมาก่อนละกัน ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...