แววตานิวราฉายความมุ่งมั่นและเศร้าหมองออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงมองชนัดพลที่อยู่ตรงด้านหน้า “พ่อ หนูรู้ว่าต้องทำยังไงแล้ว”
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาแบบนี้ สีหน้าชนัดพลถึงได้ผ่อนคลายลง และโบกมือให้เธอ พร้อมทั้งกระซิบพูด “OK แกรู้อยู่แก่ใจ พ่อก็วางใจได้แล้ว รีบกลับขึ้นไปพักผ่อนเถอะ”
นิวราพยักหน้าอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไป เพื่อกลับไปยังห้องนอน
เธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง อย่างไม่สบายใจ และครุ่นคิดอยู่ตลอด แถมยังเปิดช่องการสื่อสาร เพื่อส่งข้อความให้กับหมอกรณ์ “คุณหมอ วันนี้ขอบคุณสำหรับความร่วมมือมากๆ พรุ่งนี้จะโอนเงินให้ ส่วนเรื่อง “อาการป่วย” ของฉัน ไว้คราวหน้าพวกเราเจอกันค่อยคุยกันค่ะ....”
หลังจากที่ส่งข้อความออกไปแล้ว ไม่นานนัก เธอก็ได้รับข้อความตอบกลับมา ซึ่งหมอกรณ์ที่ได้แจ้งวันเวลาและสถานที่ที่นัดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอถึงแอบถอนหายใจเบาๆ
ขอแค่ได้พี่วินมาครอง โดยไม่สนว่าจะต้องทำอะไร เธอก็ไม่เสียดายทั้งสิ้น!
ญาธิดานั่งเฝ้าอยู่นอกห้องICUอยู่ตลอดทั้งคืนและลากยาวจนถึงเช้า ยติภัทรถึงได้สติฟื้นกลับมา
หลังจากที่คุณหมอได้ทำการตรวจเช็กอาการเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เข็นออกจากห้องICU
ญาธิดากับปภาวีพุ่งตัวเข้าหาอย่างไม่ได้นัดแนะ เพื่อสอบถามอาการ “คุณหมอคะ อาการเขาเป็นยังไงบ้างคะ?”
“ดูจากกราฟตัวเลขถือว่าปกติดีครับ พ้นช่วงวิกฤติแล้ว แต่ตอนนี้สภาพร่างกายของเขายังคงอ่อนแอมาก สภาพของหัวใจก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก จำต้องพักฟื้น”
เมื่อได้ยินคุณหมอพูดออกมาเช่นนี้ เวลานั้นญาธิดาก็ไม่รู้ว่ายินดีหรือวิตกกังวลดี เพราะอารมณ์สับสนไปหมด
ปภาวีที่อยู่ด้านข้างอดถามไม่ได้ “งั้นเมื่อไหร่จะออกจากห้องICUได้ล่ะคะ?”
“วันนี้ย้ายออกได้เลยครับ คนในครอบครัวต้องเตรียมของใช้ประจำวัน เพื่อเตรียมตัวมาเฝ้านะครับ ระยะการฟื้นตัวยังจำเป็นต้องคอยดูอาการอยู่เรื่อยๆครับ”
ปภาวีได้ยิน จึงรีบพูดทันควัน “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
รอให้คุณหมอเดินกลับออกไปแล้ว เธอถึงถอนหายใจโล่งอก และยกมือขึ้นแตะตัวญาธิดาอย่างแผ่วเบา พร้อมทั้งกระซิบพูด “ถือว่าวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง”
ญาธิดาไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก แต่ว่าความหนักอึ้งที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจค่อยๆผ่อนเบาลงเล็กน้อย เธอยันข้างกำแพง ร่างกายอ่อนแรงเล็กน้อย
เมื่อคืนวานเธอหลับตาไม่ลง เพราะเกิดอาการตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา บวกกับเธอไม่รู้สึกหิว จึงไม่ค่อยได้กินอะไร ดังนั้นตอนนี้เธอจึงอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง
“ธิดา ลูกกลับไปนอนพักที่บ้านเถอะ” ปภาวียกมือขึ้นมาประคองเธอ หัวใจเจ็บปวดจนทนไม่ไหว “แล้วทางบริษัทของลูก ลูกลาสักวัน วันนี้ไม่ต้องไปแล้วแหละ”
เมื่อได้ยินปภาวีเอ่ยถึงบริษัท ญาธิดาถึงได้ฉุกคิดได้ว่าเธอยังไม่ได้ลางานกับบริษัท หากขาดงานนานโดยไร้เหตุผล ไม่แน่งานการที่ทำอยู่ก็จะไม่มีแล้ว!
ทว่าในเวลานี้ เธอเก็บหอมรอมริบเพื่อหาเงินมาคืนให้แก่ภวินท์ ถ้าไม่มีงานทำมันไม่ได้จริงๆ!
เธอกัดฟันแน่น และมองปภาวีพลางถามกลับ “แม่คะ ในห้องพักผู้ป่วยมีสายชาร์จมั้ยคะ?”
“มีสิ วางไว้ตรงหัวเตียงนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็มุ่งหน้าไปยังห้องพักผู้ป่วยทันที เพื่อหยิบที่ชาร์จแบตนำมาชาร์จแบตให้โทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไปเอง
เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์ ก็มีโทรศัพท์หลายสายที่ไม่ได้รับสายปรากฏอยู่ด้านใน ซึ่งพี่แนนโทรเข้ามาหาตั้งสองครั้ง!
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น และไม่กล้าจะคิดอะไรมาก จึงกดโทรหาเธอทันควัน
“ฮัลโหล?”
เมื่อได้ยินเสียงของพี่แนน ญาธิดารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “พี่แนนคะ ฉัน...”
“ไม่ต้องพูดแล้วแหละ ฉันได้ข่าวมาแล้ว ที่บ้านของเธอเกิดปัญหานิดหน่อย อีกทั้งเบื้องบนอนุมัติมาแล้ว เรื่องที่บริษัทเธอวางใจเถอะ ฉันจะจัดการเอง”
น้ำเสียงของพี่แนนช่างเมตตามาก ซึ่งไม่แสดงกิริยากล่าวโทษเธอเลยสักนิด
ญาธิดาอ้าปากอย่างตกใจ และแปลกใจจนพูดไม่ออก ผ่านไปชั่วครู่ เธอถึงตั้งสติได้ จนตอบกลับไปทันควัน “ขอบคุณค่ะพี่แนน...”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจหรอก เธอทำธุระของเธอเถอะ แค่นี้นะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...