ดวงใจภวินท์ นิยาย บท 305

เรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่เพียงแต่จะทำให้บรรดาแฟนคลับที่อยู่รอบๆตกใจ แถมยังทำให้คิรินที่กำลังเดินมาทางด้านหน้าและผู้จัดการเองก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ

พริบตาเดียว สายตาทุกคนต่างเพ่งมองมาทางญาธิดากันหมด ส่วนคนที่ตกเป็นเป้าสายตากลับไม่รู้สึกตัว เธอย่นคิ้วเข้าหากันอย่างเจ็บปวด ใบหน้าต่างบิดเบี้ยวหากัน เมื่อชะงักอยู่สักพักถึงได้แหงนหน้าขึ้นมา จึงมองเห็นคนที่อยู่รอบๆข้างต่างมองมาทางเธอ

ญาธิดาตกใจ ร่างกายสั่นสะท้าน สายตาเธอหมุนไปอีกทาง เมื่อเหลือบมองเห็นแองจี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน

เมื่อครู่เธอถูกคนใช้แรงผลัก ให้กระเด็นมา ตรงนั้นมันเป็นตำแหน่งที่แองจี้กำลังยืนอยู่พอดี

ญาธิดาอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดที่แผ่มาจากบริเวณหัวเข่า จังหวะที่เตรียมจะลุกขึ้น จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็มีนิ้วมือเรียวยาวยื่นมาหาเธอ

“คุณเป็นอะไรมั้ยครับ?”

ญาธิดาสติเตลิดไปกับมือคู่ที่อยู่ทางด้านหน้า จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังอยู่ข้างใบหู จนเกิดอาการเกร็งไปทั่วร่างกาย

เธอชะเง้อมองตามเสียง ถึงได้เห็นเจ้าของต้นเสียงนั้น ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นพ่อเทพบุตรหนุ่มในฝันของสาวๆ คิรินนั่นเอง

ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งยื่นมือออกไปวางพาดบนมืออันงดงามคู่นั้นอย่างไม่รู้ตัว ถัดมา เขาก็ฉุดดึงให้ขึ้นมายืนตามปกติ

ชั่วขณะนั้น กลับมีเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของบรรดาแฟนคลับที่อยู่ทางด้านข้าง ราวกับทุกคนอยากจะเปลี่ยนเป็นญาธิดาแทนในเสี้ยววินาทีนี้ ที่ได้จับมือกับพ่อเทพบุตรสุดหล่อ

เมื่อมองเห็นญาธิดาเอาแต่ตกตะลึงแต่ไม่ได้พูดอะไร คิรินถามกลับอย่างเอาใจเย็น “คุณไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?”

ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนได้สติกลับมา พร้อมทั้งส่ายหน้าทันควัน “ฉัน....ไม่เป็นไรค่ะ”

แม้ปากจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ตรงหัวเข่าก็ยังมีความรู้สึกเจ็บจี๊ดแผ่ขึ้นมาเป็นระยะ

คิรินก้มศีรษะลง และเหลือบมองป้ายไฟที่มีขนาดใหญ่มากที่กองอยู่ที่พื้น จนเผยให้เห็นรอยยิ้มอมยิ้มอยู่ตรงมุมปาก แต่ตอนนี้สายตาพาดมองเห็นแผลบริเวณหัวเข่านั้น จู่ๆสีหน้าก็เคร่งขรึมลงถนัดตา

เขารีบหันศีรษะไปมองผู้จัดการ และก้มศีรษะลงพร้อมทั้งพูดอะไรออกไป จากนั้นก็สั่งให้บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังหยิบป้ายไฟขึ้นมาจากพื้น และก็หันศีรษะไปมองญาธิดา “คุณบาดเจ็บ ผมจะให้ผู้จัดการของผมทำแผลให้คุณนะครับ”

ญาธิดาดีใจอยู่ลึกๆ ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดจาเช่นนี้ ตอนที่เธอกำลังคิดสร้างโอกาสในการสร้างการมีตัวตนต่อหน้าเขา โดยที่ไม่คิดเลยว่าโอกาสจะหล่นมาจากฟ้าเช่นนี้

เธอพยักหน้าเล็กน้อย และอ้าปากพูดพร้อมทั้งแสดงความซาบซึ้ง “ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ!”

ท่ามกลางสายตาอิจฉาตาร้อนของบรรดาแฟนคลับที่อยู่ด้านข้าง ญาธิดาก็เดินตามผู้จัดการของเขาไป เพื่อมุ่งหน้าไปยังรถบ้าน พร้อมๆกับคิริน

“แม่เจ้า! ฉันล่ะหวังจริงๆว่าคนที่ล้มลงที่พื้นเมื่อกี้จะเป็นฉันเอง!”

“ฉันก็หวังเหมือนกัน! เธอช่างบุญหล่นทับอะไรขนาดนี้เนี่ย!”

“ที่ได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อเทพบุตร ให้ฉันขาหักไปเลยฉันก็ยอมรับสภาพได้นะ!”

“……”

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของบรรดาแฟนคลับ สีหน้าแองจี้ดูย่ำแย่ที่สุดแล้ว เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับความอิจฉาของคนอื่นแล้ว มันมีทั้งความโกรธแค้นและรู้สึกขวางหูขวางตาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ

เมื่อครู่เธอตั้งใจทำ เดิมก็แค่คิดว่าอยากจะเบียดญาธิดาไปอีกทางเพื่อหลีกทางให้เธอได้ถ่ายรูปสะดวก พอได้เห็นวินาทีที่เธอหกล้มเธอก็แอบสะใจ ซึ่งไม่คิดเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจู่ๆมันจะพลิกตลบเป็นอีกทาง จนทำให้เธอเกลียดจนอยากจะตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่สักที

หากเธอรู้ว่าคิรินจะทำเช่นนี้ เธอจะไม่มีวันแตะต้องญาธิดาแม้สักนิด!

อีกฝั่ง ญาธิดาขึ้นรถบ้านพร้อมกับผู้จัดการ แถมยังดีใจลิงโลด

รถบ้านมีขนาดใหญ่มาก เมื่อขึ้นไปแล้ว คิรินก็นั่งในตำแหน่งที่สบายที่สุด พร้อมทั้งใส่หูฟังและหลับตาฟังเพลงทันที ส่วนผู้จัดการของเขาก็ควานหากล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ด้านข้าง เพื่อนำมาช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้แก่ญาธิดา

ผู้จัดการทำสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมทั้งนำยาพ่นมาพ่นลงบนแผลของเธออย่างคล่องแคล่ว

ญาธิดาเก็บงำความเจ็บปวดเอาไว้ พริบตาเดียวก็รับรู้ถึงความเย็นอย่างรวดเร็ว

เวลานั้นเอง บอดี้การ์ดนำป้ายไฟขนาดใหญ่นั้นยัดมาในรถด้วย แต่ป้ายนั้นมันใหญ่มากเกิน พอวางขวาง มันก็ดูเคอะเขินอยู่หน่อยๆ บอดี้การ์ดจึงอ้าปากถามผู้จัดการทันที “พี่เอ ป้ายนี้จะเอายังไงดี?”

พี่เอแหงนหน้าเหลือบมองญาธิดา พร้อมทั้งพูดเสียงราบเรียบ “อีกเดี๋ยวตอนเธอลงก็ค่อยให้เธอเอาไปด้วยก็จบแล้ว”

ญาธิดายิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร

จังหวะนั้นเอง จู่ๆคิรินที่อยู่ด้านข้างอีกทางก็ลืมตาขึ้นมาทันที และเหลือบมองมาทางญาธิดา และซักถามแบบอมยิ้ม “คุณเป็นแฟนคลับผมเหรอ?”

ญาธิดาพยักหน้าทันควัน โดยไร้อาการลังเลสักนิด “ใช่ค่ะ ฉันเป็นแฟนคลับคุณ!”

คิรินได้ยิน จากนั้นก็หัวเราะอย่างดูถูกโดยไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุ ราวกับส่ายหน้าเบาๆ

ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย จนฉุกคิดถึงบรรดาแฟนคลับที่แสดงพฤติกรรมโกลาหลตอนที่จ้องมองเขา จึงรีบอ้าปากพูดทันควัน “เดี๋ยวคุณคิรินเซ็นชื่อให้ฉันได้มั้ยคะ?”

คิรินแหงนหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน พร้อมทั้งอ้าปากหาววอดอย่างไม่ตั้งใจ “ผมเซ็นให้เฉพาะคนที่เป็นแฟนคลับผมเท่านั้น”

ญาธิดาใจห่อเหี่ยว “ฉัน...ก็เป็นแฟนคลับคุณนะ!”

“งั้นคุณลองพูดมาสิ รูปใบนั้นที่อยู่บนป้าย เป็นรูปจากงานคอนเสิร์ตไหนของผมเหรอ?”

รูปที่อยู่บนป้ายไฟ ชายหนุ่มใส่ชุดแสดงสีดำปักเลื่อม แสงไฟสีฟ้าสาดส่องด้านข้างใบหน้าของเขา จนเผยให้เห็นริมฝีปากสีแดงสดฟันขาวสะอาด แววตาทอประกายราวกับดวงดาว

ญาธิดาตกตะลึง และตอบคำถามไม่ได้

ตอนนั้นเธอก็แค่หารูปใบหนึ่งออกมาจากโทรศัพท์เท่านั้นเองโดยที่เธอทึกทักเอาว่าต้องเป็นรูปที่หล่อที่สุดของเขา จึงให้เจ้าของร้านทำออกมา ซึ่งโดยไม่คิดว่าหลังจากนั้นจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตามหลังมา

เธอกัดริมฝีปาก พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็คลี่ปากพูดไปตามน้ำ “งานคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในเมืองS…”

คิรินหัวเราะอย่างดูถูก ดวงตาฉายแววตาเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย “ผิด รูปนั่นไม่ได้อยู่ในงานคอนเสิร์ตนั่นหรอกแต่เป็นรูปงานแถลงข่าวจัดงานคอนเสิร์ตต่างหาก”

ญาธิดาตกตะลึง จนพูดอะไรไม่ออก

เธอเองคิดไม่ถึงว่าคิรินจะฉลาดเฉลียวขนาดนี้ ถึงขั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่าเธอไม่ใช่แฟนคลับของเขา

จังหวะนั้นเอง พี่เอที่กำลังทำความสะอาดแผลของเธอก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมหนักกว่าเดิม พร้อมทั้งจ้องมองเธอตาเขม็งและถามเธอกลับ “พูดมา เป้าหมายคุณคืออะไร”

ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างอีกคนก็รีบเดินเข้ามา พร้อมทั้งขวางอยู่ด้านหน้าญาธิดา ราวกับกลัวว่าเธอจะแสดงพฤติกรรมอะไรสักอย่างกับคิริน

ญาธิดาหัวเราะร่า และไม่อยากจะปิดบังต่อไป พร้อมทั้งแหงนหน้ามองพี่เอ และเอ่ยปากพูดพลางหัวเราะเล็กน้อย “เรื่องจริงโดยที่ไม่มีการปิดบังใดๆ ฉันก็คือคนที่โทรศัพท์หาคุณเมื่อตอนเที่ยงค่ะ”

พี่เอตะลึงทันที “คนในSTN Groupคนนั้นอะนะ?”

ญาธิดาพยักหน้า “ตอนนี้เสื้อผ้าแบรนด์redeurภายใต้บริษัทของพวกเราได้มีคอลเลคชั่นใหม่ออกมา จึงอยากจะหาพรีเซนเตอร์คนหนึ่ง หลังจากผ่านการคัดเลือกมาหลายรอบ พวกเราคิดว่าคุณคิรินเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเราค่ะ”

เธอพูด พร้อมทั้งมองคิรินด้วยแววตาระยิบระยับ

คิรินหัวเราะอย่างดูถูกดูแคลน “งานพรีเซนเตอร์ผมก็มีไม่ขาดสาย ซึ่งมีหลายบริษัทที่รอให้ผมเลือกเป็นพรีเซนเตอร์ แล้วทำไมผมต้องเลือกบริษัทที่ที่มีรอยเปื้อนด้วยล่ะ?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกจากปากไป ราวกับถูกตบด้วยฝ่ามือจนดังลั่น จนระเบิดข้างหูญาธิดา เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมทั้งเงยหน้ามองคิริน สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “หากพูดว่ามีรอยเปื้อน ปัญหาในสิ่งที่STN Groupกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ซึ่งเกรงว่าคงไม่ถือรอยเปื้อนมั้งคะ?”

ดวงตาคิรินฉายคูวามหยิ่งจองหองออกมาเล็กน้อย “งั้นลองพูดมา อะไรที่เรียกว่ามีรอยเปื้อน?”

ญาธิดาพูดเน้นย้ำทุกถ้อยคำอย่างเคร่งเครียด “บริษัทที่ได้กระทำผิดฝ่าฝืนวินัยกฎหมาย ไม่รักษากฎหมายในการปฏิบัติงาน ไม่คำนึงถึงประชาชน ไม่สนใจพนักงาน และทำเรื่องที่ขาดจิตสำนึกไร้คุณธรรมและจรรยาบรรณออกมา ถือว่ารอยเปื้อน สกปรก STN Group ที่กำลังผ่านเคราะห์กรรมในเวลานี้ถือว่าเป็นการขับเคลื่อนก็เท่านั้นเอง”

จากนั้น เธอก็มองมาทางคิริน พร้อมทั้งอ้าปากถามกลับ “ถ้าหากว่ากระแสคนดูละครบางเรื่องของคุณมันไม่ได้ฮือฮามากนัก หรือว่าตั๋วคอนเสิร์ตขายได้น้อยมาก งั้นจะเรียกว่ารอยเปื้อนได้มั้ยล่ะ?”

คิรินเองก็ไม่คิดว่าญาธิดาจะยอกย้อนคำพูดของเขาทุกถ้อยคำ เขาหรี่ตามอง และคลับคล้ายว่าเริ่มประเมินคำพูดเธอซ้ำใหม่อย่างจริงจังอีกครั้ง

แววตาจับจ้องอยู่บนlogoเล็กๆที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของเธอ จนต้องยกมุมปากถาม “ที่คุณกำลังใส่เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดของredeur อยู่เหรอครับ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์