ดวงใจภวินท์ นิยาย บท 306

ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย แต่ก็สามารถเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งพยักหน้าและพูดออกไป “ใช่ค่ะ”

คิรินเลิกคิ้วและถามทันที “งั้นคุณก็ลองพูดมาว่าทำไมถึงต้องการให้ผมเป็นพรีเซนเตอร์คอลเลคชั่นใหม่ให้ได้?”

ญาธิดาแอบถอนหายใจเล็กน้อย คำตอบของคำถามนี้ ก่อนหน้านี้ที่เธอจะมาที่นี่ ก็ได้จัดการเรียบเรียงไว้เป็นอย่างดี ท่องจนคล่องปากแล้ว

เธอจัดการแนะนำจุดขายและดีไซเนอร์คนออกแบบของเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่นี้อีกรอบอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เริ่มให้ความสำคัญกับการพูดถึงข้อเสนอสัญญาที่คิรินจะได้รับกับคอลเลคชั่นใหม่นี้

ซึ่งระหว่างที่ได้แนะนำนั้น ย่อมเอ่ยถึงเรื่องราวตอนที่คิรินได้ใช้เวลาเทรนเนอร์ที่ประเทศKอยู่ที่นั่นมาหลายปี แม้ว่าญาธิดาไม่คุ้นเคยว่าคอนเสิร์ตของเขามันเป็นยังไง แต่เส้นทางในการเติบโตของเขานั้นเธอพอคลำทางได้ตั้งแต่แรกแล้ว พอพูดคำพูดนี้ออกไป ถือว่าพูดจี้ใจดำคิรินจริงๆ

“…ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่ทางเราอยากให้คุณคิรินมาเป็นพรีเซนเตอร์ หากคุณมีจุดอื่นที่อยากจะเข้าใจเพิ่มเติม ฉันสามารถจัดหาคนมาคอยต้อนรับคุณ เพื่อจะได้อธิบายในส่วนที่เหลือได้อย่างละเอียดค่ะ”

คิรินคลี่ยิ้มตรงมุมปาก พอเห็นว่าพี่เอจัดการติดพลาสเตอร์ตรงแผลของญาธิดาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเรียบเฉย “พูดจบ...ก็ดูธรรมด๊าธรรมดานะ”

ญาธิดาตกตะลึง จนเริ่มแปลกใจ

คำพูดเหล่านั้นที่เพิ่งจะพูดออกไป เธอรู้สึกว่าตนเองใกล้จะพูดจนยอมตกลงอยู่แล้ว ซึ่งไม่คิดเลยว่าคิรินจะมองว่ามันดูธรรมดางั้นเหรอ?

“งั้น... คุณคิรินสนใจจะลองคุยกับดีไซเนอร์ของredeurมั้ยคะ?”

คิรินคลี่ยิ้มมุมปาก จากนั้นก็บิดขี้เกียจ “ผมจะลองคิดดูนะ”

เขาพูด พร้อมทั้งหันไปหาคนขับรถที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็พูดทันที “น้อง จอดรถข้างทางหน่อย ให้เธอลงจากรถได้แล้วแหละ”

ญาธิดาตกตะลึง พร้อมทั้งมองมาทางคิรินอย่างตกใจ

คนขับรถก็จอดรถเข้าข้างทางอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยเป็นคนเปิดประตูให้ พี่เอหยิบป้ายไฟที่อยู่ด้านข้างส่งยื่นให้เธอ

วินาทีนั้น ญาธิดาเริ่มมึนงงเล็กน้อย

เหมือนว่าเธอถูกคนไล่ตะเพิดลงจากรถ

เธอหยิบป้ายไฟขนาดใหญ่ลงจากรถ พอหันศีรษะกลับไปมองก็เห็นว่าคิรินยิ้มให้เธอ แถมยังโบกมือให้เธอ “ลาก่อนนะครับ “FCผู้ซื่อสัตย์”ของผม”

จากนั้น ประตูรถก็ปิดลง รถยนต์เคลื่อนตัวออกไป

ญาธิดาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีจุดจบอย่างนี้ เธอเหลือบมองบริเวณรอบๆอย่างสับสน ที่นี่ไร้การช่วยเหลือแถมตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอับอาย แถมยังห่างไกลความเจริญ ขนาดทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดินยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ

เธอถือป้ายไฟขนาดใหญ่โตอยู่คนเดียว ราวกับเป็นคนบ้า แถมยังโดนคิรินทิ้งไว้แบบนี้อีก!

เธอโมโหอยู่บ้าง ในเวลานี้ ซึ่งไม่คิดเลยว่าเรื่องจะจัดการได้ยากเย็นขนาดนี้ แถมคิรินยังจัดการได้ยากขนาดนี้ด้วย

เธอถือป้ายเดินอยู่นานมาก จนในที่สุดคนที่เดินอยู่ข้างทางก็เพิ่มมากขึ้น แต่ทุกคนต่างใช้สายตาแปลกพิกลประเมินเธออยู่ตลอดเวลา เวลานั้น ญาธิดาแทบทนไม่ไหวจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

เดิมทีเธอนึกว่าคิรินจะเป็นคนพูดง่าย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนชอบทรมานคนตัวพ่อจอมโอหังขนาดนี้ เธอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่า เขาจงใจให้เธอลงจากรถตรงบริเวณจุดนี้

เมื่อเดินมาได้สักพัก ในที่สุดก็มองเห็นทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดิน จึงมองป้ายไฟที่อยู่ในมือแวบหนึ่ง และเหลือบมองถังขยะที่อยู่ด้านข้าง เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในการปล่อยวางมันลง

ก่อนจะเดินจากมา ยังคิดถึงเรื่องเงินที่ตนเองจ่ายไปเป็นพันกว่าบาทเมื่อครู่นี้ จนรู้สึกไม่พอใจ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปหนึ่งใบ จากนั้นก็อัพลงในเฟสบุ๊ค พร้อมทั้งเขียนข้อความกำกับเอาไว้ “บ๊ายบายค่ะ!”

ซึ่งโดยปกติญาธิดาก็ไม่ค่อยอัพรูปลงเฟสบุ๊คสักเท่าไหร่ แต่วันนี้เธอโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว จึงลงรูปด้วยอารมณ์โกรธเคือง

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอก็เก็บโทรศัพท์ และนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินทันที

ซึ่งในเวลาเดียวกัน บริเวณชั้นใต้ดินของ STN Group ภวินท์กำลังนั่งอยู่บนรถ และเปิดดูเฟสบุ๊คของเพื่อน ก็เห็นญาธิดาอัพรูปลงเฟสบุ๊ค

เขากดรูปภาพประกอบ ก็เห็นป้ายไฟที่สกรีนเป็นรูปภาพของคิรินอยู่ในภาพนั้น จนคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

ไม่ต้องพูด เขาก็พอเดาได้ เธอไปหาคิรินมาแล้ว แถมด้วยคำพูดแบบนี้ของเธอ คงไม่สามารถเจรจาจนพัฒนาไปอย่างราบรื่นแน่นอน

เขาเก็บโทรศัพท์ จู่ๆก็คิดอะไรได้ จึงอ้าปากถามพายุทันที “ร้านเชฟส์ เทเบิลร้านนั้นย้ายมาอยู่ตรงสะพานทองแล้วใช่มั้ย”

พายุตอบคำถามกลับ “ใช่ครับ จะไปมั้ยครับ?”

“รอเดี๋ยว ผมโทรศัพท์ก่อน”

ภวินท์พูดพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็กดโทรหาญาธิดาทันที “อยู่ไหน?”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ญาธิดาก็รีบตาลีตาเหลือกมาถึงยังร้านเชฟส์ เทเบิลที่ภวินท์พูดถึง หลังจากเดินอ้อมบ้านสนามเล็กๆแล้ว ถึงเห็นหน้าตาของร้านอาหารจริงๆ

สะพานเล็กๆที่มีสายน้ำไหลผ่าน สถาปัตยกรรมแปลกหูแปลกตา การพรรณนาออกมาเช่นนั้นไม่มีการโอ้อวดแม้สักนิด

เธอแจ้งชื่อภวินท์ พริบตาเดียวก็มีคนนำทางให้เธอเดินขึ้นไปยังห้องรับรองชั้นสอง ยามผลักประตูเข้าไป ภายในประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา

เมื่อเดินเข้าไป จึงมองเห็นภวินท์ที่นั่งอยู่ภายในห้องคนเดียว ญาธิดาตกใจเล็กน้อย เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วถึงได้กล้าอ้าปากสอบถาม “คุณภวินท์ ไม่ใช่บอกกับฉันว่าพามาพบคนคนหนึ่งไม่ใช่เหรอคะ?”

ภวินท์ได้ยินดังนั้น พร้อมทั้งรินน้ำชาให้เธอแก้วหนึ่งอย่างไม่รีบไม่ร้อน พร้อมทั้งเลิกคิ้วย้อนถามกลับ “แล้วผมไม่ใช่คนคนหนึ่งหรือยังไง?”

ญาธิดาตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นหลายวินาทีถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับทันควัน พร้อมทั้งคลี่ยิ้มมุมปากอย่างเก้อเขิน “ก็...ใช่”

ภวินท์ช้อนตามองเธอด้วยสายตาเคร่งเครียด “ที่เรียกคุณมา ก็เพื่อจะถามเรื่องนั้นมีความคืบหน้ายังไงบ้างแล้ว?”

“ฉัน...” เมื่อญาธิดาคิดถึงเรื่องเหล่านั้นที่เกิดขึ้นในวันนี้ จนเกิดความรู้สึกพูดไม่ออกในทันที

ภวินท์ที่กำลังยกแก้วชาขึ้นชะงักเล็กน้อย พร้อมทั้งช้อนตามองและถามเธอ “เกิดอะไรขึ้น? ใครรังแกคุณมาเหรอครับ?”

ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ไม่มีค่ะ แค่เรื่องนี้มันยากกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้เสียอีกค่ะ”

เธอพูดถึงท่าทางของคิรินที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยคร่าวๆ ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีอาหารมาเสิร์ฟแล้ว

ภวินท์มองเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พูดพล่ามไปเรื่อยไม่จบสักที จนปรากฏรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตรงมุมปาก จากนั้นก็พูดอย่างแผ่วเบา “กินข้าวก่อน”

ญาธิดาส่งเสียงตอบรับทันที จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่พอเห็นกับข้าวที่อุดมสมบูรณ์จัดวางอยู่บนโต๊ะ จนทำให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยพอใจมลายหายไปเกินครึ่ง

ภวินท์จ้องมองลักษณะดวงตาที่ทอประกายของหญิงสาว เขาพูดเสียงอ่อนทันที “กินเถอะ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนของคุณในวันนี้ครับ”

ญาธิดาดีใจมาก พร้อมทั้งเริ่มตั้งใจกินข้าวทันที

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ญาธิดาทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจก็มลายหายไปเยอะมากแล้ว

หลังจากพูดคุยกันหลายประโยคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภวินท์ก็ลุกขึ้นยืน “ผมจะส่งคุณกลับบ้าน”

เดิมทีญาธิดาก็คิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดได้ว่าจากที่นี่กับคอนโดมันไกลกันมากจริงๆ จึงตอบตกลงทันที

เมื่อออกมาจากห้องรับรองแล้ว ตอนที่กำลังลงจากบันไดนั้น เมื่อญาธิดางอหัวเข่าลง จึงเกิดความรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที เธอย่นคิ้วเอาไว้ และเดินช้าลงเล็กน้อย

ภวินท์ที่อยู่ด้านข้างไหวพริบดีจนจับสัมผัสอะไรได้ เมื่อเห็นแผลที่อยู่บนขาของเธอ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย พร้อมทั้งตอบทันควัน “ไม่มีอะไรค่ะ...”

เธอพูด จังหวะที่เตรียมจะก้าวลงนั้น ในวินาทีนั้นใครจะรู้ว่า มือของภวินท์ยื่นออกมา และคว้าเธอเอาไว้

วินาทีต่อมา ภวินท์ก้มตัวลง และอุ้มเธอขึ้นมาทันที

การกระทำนี้มันช่างเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนมาก ญาธิดากรีดร้องอย่างตกใจ เมื่อมองบันไดที่อยู่ด้านล่าง จึงเหนี่ยวรั้งต้นคอของภวินท์อย่างไม่รู้ตัว

เมื่อเดินถึงชั้นล่าง บรรดาลูกค้าที่อยู่ในโต๊ะอาหารตรงห้องโถงใหญ่ต่างมองมาทางพวกเขา ญาธิดารู้สึกอายและหวาดกลัว จนต้องหันหน้าไปอีกทางแทน

ซึ่งมันไม่ง่ายดายเลยที่จะมาถึงรถได้สักที เขาถึงได้ยอมวางญาธิดาลง

ยามเมื่อประตูปิดลง ภายในตัวรถก็มืดเล็กน้อย ตัวของภวินท์เอนมาทาบทับทางเธอ “ญาธิดา ไปทำอีท่าไหนถึงได้แผลนี้มา คุณยังไม่คิดจะพูดออกมาใช่มั้ย?”

ภายในพื้นที่ถูกปิดล้อม ญาธิดาสามารถรับรู้ถึงอำนาจอันแรงกล้าที่มาจากร่างกายของชายหนุ่มได้อย่างถนัดถนี่ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางกัดฟันพูด “ฉันไม่ทันระวังจนล้มลงเลยได้แผลมาค่ะ”

“เหรอ?” ภวินท์แสดงท่าทางไม่ค่อยเชื่อออกมาอย่างชัดเจน ถึงชูมือขึ้นเพื่อเชิดปลายคางของเธอขึ้นมา “ไม่คิดจะพูดความจริงกับผมเหรอ?”

เขาคงไม่รู้ว่าตกลงว่าเธอต้องไม่ระวังถึงขั้นไหน ก็แค่ไม่เจอหน้ากันแค่ช่วงบ่าย เธอก็ไปได้แผลที่ขามาทั้งสองข้าง

ญาธิดาขยับปากเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า พลางเหลือบมองชายหนุ่มที่ปลายคางอยู่ใกล้แค่คืบเดียว จนได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นไม้จางๆบนตัวของเขา จนหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาทันทีทันใด

บรรยากาศภายในตัวรถได้ความหมายเป็นนัยกำลังพอดี พวกเขาทั้งสองคนแนบชิดใกล้มากขึ้น และค่อยๆเขยิบเข้าหากันทีละเล็กทีละน้อย อย่างเชื่องช้า และขยับเข้าหาใกล้ขึ้นเรื่อย...

เวลานั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันทีทันใด จนขัดจังหวะทำลายบรรยากาศไปเสียหมด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์