ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย แต่ก็สามารถเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งพยักหน้าและพูดออกไป “ใช่ค่ะ”
คิรินเลิกคิ้วและถามทันที “งั้นคุณก็ลองพูดมาว่าทำไมถึงต้องการให้ผมเป็นพรีเซนเตอร์คอลเลคชั่นใหม่ให้ได้?”
ญาธิดาแอบถอนหายใจเล็กน้อย คำตอบของคำถามนี้ ก่อนหน้านี้ที่เธอจะมาที่นี่ ก็ได้จัดการเรียบเรียงไว้เป็นอย่างดี ท่องจนคล่องปากแล้ว
เธอจัดการแนะนำจุดขายและดีไซเนอร์คนออกแบบของเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่นี้อีกรอบอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เริ่มให้ความสำคัญกับการพูดถึงข้อเสนอสัญญาที่คิรินจะได้รับกับคอลเลคชั่นใหม่นี้
ซึ่งระหว่างที่ได้แนะนำนั้น ย่อมเอ่ยถึงเรื่องราวตอนที่คิรินได้ใช้เวลาเทรนเนอร์ที่ประเทศKอยู่ที่นั่นมาหลายปี แม้ว่าญาธิดาไม่คุ้นเคยว่าคอนเสิร์ตของเขามันเป็นยังไง แต่เส้นทางในการเติบโตของเขานั้นเธอพอคลำทางได้ตั้งแต่แรกแล้ว พอพูดคำพูดนี้ออกไป ถือว่าพูดจี้ใจดำคิรินจริงๆ
“…ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่ทางเราอยากให้คุณคิรินมาเป็นพรีเซนเตอร์ หากคุณมีจุดอื่นที่อยากจะเข้าใจเพิ่มเติม ฉันสามารถจัดหาคนมาคอยต้อนรับคุณ เพื่อจะได้อธิบายในส่วนที่เหลือได้อย่างละเอียดค่ะ”
คิรินคลี่ยิ้มตรงมุมปาก พอเห็นว่าพี่เอจัดการติดพลาสเตอร์ตรงแผลของญาธิดาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเรียบเฉย “พูดจบ...ก็ดูธรรมด๊าธรรมดานะ”
ญาธิดาตกตะลึง จนเริ่มแปลกใจ
คำพูดเหล่านั้นที่เพิ่งจะพูดออกไป เธอรู้สึกว่าตนเองใกล้จะพูดจนยอมตกลงอยู่แล้ว ซึ่งไม่คิดเลยว่าคิรินจะมองว่ามันดูธรรมดางั้นเหรอ?
“งั้น... คุณคิรินสนใจจะลองคุยกับดีไซเนอร์ของredeurมั้ยคะ?”
คิรินคลี่ยิ้มมุมปาก จากนั้นก็บิดขี้เกียจ “ผมจะลองคิดดูนะ”
เขาพูด พร้อมทั้งหันไปหาคนขับรถที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็พูดทันที “น้อง จอดรถข้างทางหน่อย ให้เธอลงจากรถได้แล้วแหละ”
ญาธิดาตกตะลึง พร้อมทั้งมองมาทางคิรินอย่างตกใจ
คนขับรถก็จอดรถเข้าข้างทางอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยเป็นคนเปิดประตูให้ พี่เอหยิบป้ายไฟที่อยู่ด้านข้างส่งยื่นให้เธอ
วินาทีนั้น ญาธิดาเริ่มมึนงงเล็กน้อย
เหมือนว่าเธอถูกคนไล่ตะเพิดลงจากรถ
เธอหยิบป้ายไฟขนาดใหญ่ลงจากรถ พอหันศีรษะกลับไปมองก็เห็นว่าคิรินยิ้มให้เธอ แถมยังโบกมือให้เธอ “ลาก่อนนะครับ “FCผู้ซื่อสัตย์”ของผม”
จากนั้น ประตูรถก็ปิดลง รถยนต์เคลื่อนตัวออกไป
ญาธิดาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีจุดจบอย่างนี้ เธอเหลือบมองบริเวณรอบๆอย่างสับสน ที่นี่ไร้การช่วยเหลือแถมตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอับอาย แถมยังห่างไกลความเจริญ ขนาดทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดินยังมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
เธอถือป้ายไฟขนาดใหญ่โตอยู่คนเดียว ราวกับเป็นคนบ้า แถมยังโดนคิรินทิ้งไว้แบบนี้อีก!
เธอโมโหอยู่บ้าง ในเวลานี้ ซึ่งไม่คิดเลยว่าเรื่องจะจัดการได้ยากเย็นขนาดนี้ แถมคิรินยังจัดการได้ยากขนาดนี้ด้วย
เธอถือป้ายเดินอยู่นานมาก จนในที่สุดคนที่เดินอยู่ข้างทางก็เพิ่มมากขึ้น แต่ทุกคนต่างใช้สายตาแปลกพิกลประเมินเธออยู่ตลอดเวลา เวลานั้น ญาธิดาแทบทนไม่ไหวจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
เดิมทีเธอนึกว่าคิรินจะเป็นคนพูดง่าย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนชอบทรมานคนตัวพ่อจอมโอหังขนาดนี้ เธอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่า เขาจงใจให้เธอลงจากรถตรงบริเวณจุดนี้
เมื่อเดินมาได้สักพัก ในที่สุดก็มองเห็นทางเข้ารถไฟฟ้าใต้ดิน จึงมองป้ายไฟที่อยู่ในมือแวบหนึ่ง และเหลือบมองถังขยะที่อยู่ด้านข้าง เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในการปล่อยวางมันลง
ก่อนจะเดินจากมา ยังคิดถึงเรื่องเงินที่ตนเองจ่ายไปเป็นพันกว่าบาทเมื่อครู่นี้ จนรู้สึกไม่พอใจ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปหนึ่งใบ จากนั้นก็อัพลงในเฟสบุ๊ค พร้อมทั้งเขียนข้อความกำกับเอาไว้ “บ๊ายบายค่ะ!”
ซึ่งโดยปกติญาธิดาก็ไม่ค่อยอัพรูปลงเฟสบุ๊คสักเท่าไหร่ แต่วันนี้เธอโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว จึงลงรูปด้วยอารมณ์โกรธเคือง
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เธอก็เก็บโทรศัพท์ และนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินทันที
ซึ่งในเวลาเดียวกัน บริเวณชั้นใต้ดินของ STN Group ภวินท์กำลังนั่งอยู่บนรถ และเปิดดูเฟสบุ๊คของเพื่อน ก็เห็นญาธิดาอัพรูปลงเฟสบุ๊ค
เขากดรูปภาพประกอบ ก็เห็นป้ายไฟที่สกรีนเป็นรูปภาพของคิรินอยู่ในภาพนั้น จนคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
ไม่ต้องพูด เขาก็พอเดาได้ เธอไปหาคิรินมาแล้ว แถมด้วยคำพูดแบบนี้ของเธอ คงไม่สามารถเจรจาจนพัฒนาไปอย่างราบรื่นแน่นอน
เขาเก็บโทรศัพท์ จู่ๆก็คิดอะไรได้ จึงอ้าปากถามพายุทันที “ร้านเชฟส์ เทเบิลร้านนั้นย้ายมาอยู่ตรงสะพานทองแล้วใช่มั้ย”
พายุตอบคำถามกลับ “ใช่ครับ จะไปมั้ยครับ?”
“รอเดี๋ยว ผมโทรศัพท์ก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...