เป็นเสียงโทรศัพท์ของภวินท์
แววตาภวินท์หวั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งหลังตรงทันที เพื่อรักษาระยะห่างของทั้งสองคน
เขาควานหาโทรศัพท์ เมื่อเหลือบมองชื่อที่บันทึกไว้ตรงหน้าจอ จนหัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างไร้ร่องรอยทันที
เขาหันหน้ามองนอกหน้าต่าง จากนั้นก็กดรับสายโทรศัพท์ทันที พร้อมทั้งแนบข้างหู “ฮัลโหลครับ?”
ทางนั้นเป็นเสียงหวานสดใสของหญิงสาวดังออกมา “พี่วิน พี่อยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
ญาธิดาได้ยินเสียงดังลอยๆออกมา นั่นเป็นเสียงของนิวรา วินาทีนั้น เธอตื่นตัวขึ้นเยอะ
ถ้าไม่มีโทรศัพท์นี้เข้ามา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อครู่นี้
ญาธิดารู้สึกโกรธเกลียดตนเองที่ไม่ตั้งสติให้ดีพอ ซึ่งทุกครั้งที่ต้องประจันใบหน้ากับภวินท์นี้นั้น เธอไร้วิธีในการควบคุมตนเอง
ภวินท์พูดคุยกับโทรศัพท์อยู่หลายประโยค เพิ่งจะวางสายไป ญาธิดาก็หันศีรษะไปมองทางเขา พร้อมทั้งยิ้มให้เล็กน้อยและกล่าวพูดออกไป “คุณภวินท์คะ ถ้าหากคุณมีธุระอะไรต่อก็ไปทำธุระเถอะค่ะ ฉันเพิ่งนึกออกว่าฉันต้องไปซื้อของแถวๆนี้ด้วยค่ะ คงไม่ต้องรบกวนให้คุณไปส่งแล้วค่ะ”
เธอพูด พร้อมทั้งยิ้มให้ภวินท์ โดยที่ไม่รอให้เขาอ้าปากพูดตอบโต้ ก็ผลักประตูรถ และรีบแจ้นลงจากรถทันที
ภวินท์ขมวดหัวคิ้วไว้แน่น จากนั้นก็ผลักประตูรถตามไปตามจิตสำนึก พลันมีเสียงหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัวสมองอย่างปัจจุบันทันด่วน
หลายวันก่อน หลุยส์พูดกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายกับเธอไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน”
ภาพนั้นยังคงพลิกอยู่ในหัวสมองของเขาหลายตลบ เขากำโทรศัพท์ไว้ในมือแน่น หลังจากนั้นชั่วครู่ จึงใจเย็นลง
พายุที่ยืนอยู่ด้านนอกรถเริ่มแปลกใจเล็กน้อย จึงมองภวินท์และถามกลับทันที “คุณภวินท์ ไม่ตามเหรอครับ?”
ภวินท์ย่นคิ้วหากันแน่น หัวใจเต้นระทึก จนเม้มริมฝีปากเป็นขีด “ไม่ตามแล้วแหละ ขับรถเถอะ กลับที่พักกัน”
พายุได้ยิน ทำได้แต่ขึ้นรถ และสตาร์ทรถขับออกไป
ภวินท์ช้อนตาเพื่อมองร่างกายผู้หญิงคนนั้นที่อยู่กระจกด้านหลังที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเล็กลงเรื่อยๆ และเล็กลงไปอีก จนสุดท้าย มองไม่เห็นแล้ว
ญาธิดานั่งรถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้มุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ไปโรงพยาบาลแทน
ระยะนี้ เธอไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมยติภัทรกับปภาวีเลย โดยเริ่มแรกเพราะว่ามีอาการบาดเจ็บตรงศีรษะ กลัวว่าจะโดนพวกเขาซักถาม ดังนั้นจึงไม่กล้ามา หลังจากนั้นก็เพราะว่าแผ่นหลังไปโดนแส้มา เลยพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ไปเยี่ยมพวกเขาเลย
ซึ่งตอนนี้ ในที่สุดเธอก็มีเวลาแล้ว ที่สามารถไปเยี่ยมพวกเขาได้แล้ว
เธอเดินมาถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยอย่างสับสน เธอยื่นอยู่ตรงนั้น ทั้งที่มีความรู้สึกสับสน
เมื่อพูดถึงตั้งแต่ที่บิดาเกิดเรื่องขึ้นจนพักที่โรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ ซึ่งถือว่ากินเวลาที่ยาวนานมากแล้ว
เมื่อเธอช้อนตาขึ้น และมองผ่านกระจกเล็กๆที่ประตูห้องพักคนไข้เข้าไปดูด้านใน จึงมองเห็นปภาวีกำลังนวดขาให้กับยติภัทร
ยติภัทรที่กำลังนอนอยู่บนเตียงหมดอารมณ์จะอ่านหนังสือในมือแล้ว พลันถอนหายใจออกมา “ทัตมาหลายครั้ง ก็เอาแต่พูดว่าธิดากำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน แต่ทำงานยุ่งแค่ไหน ก็น่าจะโทรศัพท์มาหาบ้างนะ...”
“ลูกอยู่ข้างนอกก็ลำบากมากพอแล้ว คุณยังจะให้เธอถ่อมาโรงพยาบาลทุกวันอีก แล้วเธอจะทนไหวมั้ย ฉันดีใจเสียอีกที่เธอมาโรงพยาบาลน้อยลง ที่ตนเองสามารถไปพักผ่อนให้เยอะๆได้...”
“……”
เมื่อได้ยินยติภัทรกับปภาวีพูดคุยถึงเรื่องตนเอง หัวใจญาธิดาปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาอยู่ในหัวใจทันที
ระยะนี้ตัวเธอเองใช้ชีวิตช่างสับสนมากเหลือเกิน ซึ่งไม่ค่อยได้มาที่โรงพยาบาลสักเท่าไหร่เลย ทำให้ละเลยการดูแลบิดาอย่างไม่รู้สึกตัว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอรู้สึกละอายใจมากขึ้น จนน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย
จู่ๆเธอก็หวนคิดเรื่องที่พวกเขาทั้งครอบครัวใช้ชีวิตสามคนอย่างไร้ความกังวลและความวิตกอื่นใด ต่างใช้ชีวิตพึ่งพากันไปมา ในเวลานั้น ชีวิตของเธอนอกเหนือจากบิดามารดาแล้ว ก็คืองาน และไม่มีเรื่องปวดใจอันยุ่งเหยิงอะไร แม้ว่าจะไม่โดดเด่นนัก แต่ก็แต่งเติมได้ยากยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...