ดวงใจภวินท์ นิยาย บท 307

เป็นเสียงโทรศัพท์ของภวินท์

แววตาภวินท์หวั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งหลังตรงทันที เพื่อรักษาระยะห่างของทั้งสองคน

เขาควานหาโทรศัพท์ เมื่อเหลือบมองชื่อที่บันทึกไว้ตรงหน้าจอ จนหัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างไร้ร่องรอยทันที

เขาหันหน้ามองนอกหน้าต่าง จากนั้นก็กดรับสายโทรศัพท์ทันที พร้อมทั้งแนบข้างหู “ฮัลโหลครับ?”

ทางนั้นเป็นเสียงหวานสดใสของหญิงสาวดังออกมา “พี่วิน พี่อยู่ที่ไหนเหรอคะ?”

ญาธิดาได้ยินเสียงดังลอยๆออกมา นั่นเป็นเสียงของนิวรา วินาทีนั้น เธอตื่นตัวขึ้นเยอะ

ถ้าไม่มีโทรศัพท์นี้เข้ามา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อครู่นี้

ญาธิดารู้สึกโกรธเกลียดตนเองที่ไม่ตั้งสติให้ดีพอ ซึ่งทุกครั้งที่ต้องประจันใบหน้ากับภวินท์นี้นั้น เธอไร้วิธีในการควบคุมตนเอง

ภวินท์พูดคุยกับโทรศัพท์อยู่หลายประโยค เพิ่งจะวางสายไป ญาธิดาก็หันศีรษะไปมองทางเขา พร้อมทั้งยิ้มให้เล็กน้อยและกล่าวพูดออกไป “คุณภวินท์คะ ถ้าหากคุณมีธุระอะไรต่อก็ไปทำธุระเถอะค่ะ ฉันเพิ่งนึกออกว่าฉันต้องไปซื้อของแถวๆนี้ด้วยค่ะ คงไม่ต้องรบกวนให้คุณไปส่งแล้วค่ะ”

เธอพูด พร้อมทั้งยิ้มให้ภวินท์ โดยที่ไม่รอให้เขาอ้าปากพูดตอบโต้ ก็ผลักประตูรถ และรีบแจ้นลงจากรถทันที

ภวินท์ขมวดหัวคิ้วไว้แน่น จากนั้นก็ผลักประตูรถตามไปตามจิตสำนึก พลันมีเสียงหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัวสมองอย่างปัจจุบันทันด่วน

หลายวันก่อน หลุยส์พูดกับเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายกับเธอไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน”

ภาพนั้นยังคงพลิกอยู่ในหัวสมองของเขาหลายตลบ เขากำโทรศัพท์ไว้ในมือแน่น หลังจากนั้นชั่วครู่ จึงใจเย็นลง

พายุที่ยืนอยู่ด้านนอกรถเริ่มแปลกใจเล็กน้อย จึงมองภวินท์และถามกลับทันที “คุณภวินท์ ไม่ตามเหรอครับ?”

ภวินท์ย่นคิ้วหากันแน่น หัวใจเต้นระทึก จนเม้มริมฝีปากเป็นขีด “ไม่ตามแล้วแหละ ขับรถเถอะ กลับที่พักกัน”

พายุได้ยิน ทำได้แต่ขึ้นรถ และสตาร์ทรถขับออกไป

ภวินท์ช้อนตาเพื่อมองร่างกายผู้หญิงคนนั้นที่อยู่กระจกด้านหลังที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเล็กลงเรื่อยๆ และเล็กลงไปอีก จนสุดท้าย มองไม่เห็นแล้ว

ญาธิดานั่งรถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้มุ่งหน้ากลับบ้าน แต่ไปโรงพยาบาลแทน

ระยะนี้ เธอไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมยติภัทรกับปภาวีเลย โดยเริ่มแรกเพราะว่ามีอาการบาดเจ็บตรงศีรษะ กลัวว่าจะโดนพวกเขาซักถาม ดังนั้นจึงไม่กล้ามา หลังจากนั้นก็เพราะว่าแผ่นหลังไปโดนแส้มา เลยพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ไปเยี่ยมพวกเขาเลย

ซึ่งตอนนี้ ในที่สุดเธอก็มีเวลาแล้ว ที่สามารถไปเยี่ยมพวกเขาได้แล้ว

เธอเดินมาถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยอย่างสับสน เธอยื่นอยู่ตรงนั้น ทั้งที่มีความรู้สึกสับสน

เมื่อพูดถึงตั้งแต่ที่บิดาเกิดเรื่องขึ้นจนพักที่โรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ ซึ่งถือว่ากินเวลาที่ยาวนานมากแล้ว

เมื่อเธอช้อนตาขึ้น และมองผ่านกระจกเล็กๆที่ประตูห้องพักคนไข้เข้าไปดูด้านใน จึงมองเห็นปภาวีกำลังนวดขาให้กับยติภัทร

ยติภัทรที่กำลังนอนอยู่บนเตียงหมดอารมณ์จะอ่านหนังสือในมือแล้ว พลันถอนหายใจออกมา “ทัตมาหลายครั้ง ก็เอาแต่พูดว่าธิดากำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน แต่ทำงานยุ่งแค่ไหน ก็น่าจะโทรศัพท์มาหาบ้างนะ...”

“ลูกอยู่ข้างนอกก็ลำบากมากพอแล้ว คุณยังจะให้เธอถ่อมาโรงพยาบาลทุกวันอีก แล้วเธอจะทนไหวมั้ย ฉันดีใจเสียอีกที่เธอมาโรงพยาบาลน้อยลง ที่ตนเองสามารถไปพักผ่อนให้เยอะๆได้...”

“……”

เมื่อได้ยินยติภัทรกับปภาวีพูดคุยถึงเรื่องตนเอง หัวใจญาธิดาปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาอยู่ในหัวใจทันที

ระยะนี้ตัวเธอเองใช้ชีวิตช่างสับสนมากเหลือเกิน ซึ่งไม่ค่อยได้มาที่โรงพยาบาลสักเท่าไหร่เลย ทำให้ละเลยการดูแลบิดาอย่างไม่รู้สึกตัว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอรู้สึกละอายใจมากขึ้น จนน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย

จู่ๆเธอก็หวนคิดเรื่องที่พวกเขาทั้งครอบครัวใช้ชีวิตสามคนอย่างไร้ความกังวลและความวิตกอื่นใด ต่างใช้ชีวิตพึ่งพากันไปมา ในเวลานั้น ชีวิตของเธอนอกเหนือจากบิดามารดาแล้ว ก็คืองาน และไม่มีเรื่องปวดใจอันยุ่งเหยิงอะไร แม้ว่าจะไม่โดดเด่นนัก แต่ก็แต่งเติมได้ยากยิ่ง

ซึ่งไม่เหมือนตอนนี้เลย เธอแทบไม่สามารถคาดเดาทางเดินข้างหน้าได้สักนิด

ราวกับตั้งแต่ที่เธอรู้จักกับภวินท์แล้ว ชีวิตของเธอก็พลิกตลบไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมาถึงขั้นนี้แล้ว คนที่เดินเคียงข้างเขาเข้างานแต่งงานกลับไม่ใช่เธอ

ญาธิดาหัวใจเจ็บจี๊ด น้ำตาพรั่งพรูไหลออกมาด้านนอกอย่างไม่ขาดสาย

เวลานี้เอง ประตูห้องเปิดออก ปภาวียืนอยู่ตรงประตู พร้อมทั้งจ้องมองญาธิดาอย่างตกอกตกใจ “ธิดา ลูกเป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม?”

เธอรีบดึงญาธิดาเข้าห้องพักผู้ป่วยทันที ยติภัทรที่นั่งอยู่บนเตียงเห็นเหตุการณ์นั้นและ ด้วยความร้อนใจจึงนั่งหลังตรง เพื่อเตรียมจะลงจากเตียง “ธิดา ใครรังแกลูก? บอกพ่อมา ใครรังแกลูก?”

เมื่อเห็นใบหน้าของทั้งสองคนที่แสดงความเป็นห่วงตนเองอย่างเต็มเปี่ยม น้ำตาญาธิดายยิ่งอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่

ราวกับว่าเธอสนใจแต่เรื่องอื่นมากเกินไปจนกระทั่งละเลยคนข้างกายที่ควรจะอยู่เคียงข้างที่สุดไป จนรู้สึกละอายใจ ความรู้สึกทุกข์ใจผสมปนเปเข้าหากัน จนกลายเป็นความรู้สึกสับสนชนิดหนึ่ง

จนสุดท้าย เธอส่ายศีรษะไปมา พลางเช็ดน้ำตา พร้อมทั้งพูดอย่างแผ่วเบา “ไม่มีใครรังแกหนูค่ะ หนูแค่คิดถึงพ่อกับแม่มากๆเลยค่ะ...”

ปภาวีได้ยินจนตาแดงทันที พลางยื่นมือออกไปดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดทันที

ญาธิดาได้กลิ่นอันคุ้นเคยบนร่างกายของมารดา จนรู้สึกสงบใจลงเยอะ และแอบตัดสินใจอะไรได้

รอให้บิดาทำบายพาสหัวใจเสร็จเรียบร้อย เธอจะต้องพาพวกเขาออกจากโรงพยาบาลอย่างแน่นอน พร้อมทั้งเปลี่ยนงานใหม่ และจะอยู่ข้างกายพวกเขาอยู่ตลอด โดยบอกลาเรื่องยิบย่อยเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ตัวเธอไปให้หมด บอกลาภวินท์ บอกลาชีวิตแบบนี้ไปเสียที

เช้าวันรุ่งขึ้น ญาธิดามาทำทางานที่บริษัทตามปกติ ตอนที่เพิ่งมาถึงสำนักงานCEO ก็ได้รับข่าวลาป่วยจากลูกเกด

ขาดคนช่วยงานไปอีกหนึ่งคน ญาธิดาต้องทำงานมากขึ้น เดิมที่ยังอยากจะเจอกับคิรินอีก แต่ลูกเกดไม่อยู่ เธอก็จำต้องทำงานตลอดทั้งวัน และคอยฟังคำสั่งของภวินท์

หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ทั้งสองคนต่างไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไปโดยปริยาย ราวกับพวกเขามีความสัมพันธ์เฉกเช่นประธานกับเลขานุการตามปกติที่สุดเช่นนั้น

ช่วงเช้า ญาธิดาได้รับเอกสารสรุปงานประจำสิ้นเดือนที่หลายแผนกส่งมาให้ ตอนแรกเธอก็ยังสงสัยและไม่เข้าใจ ว่ายังไม่ถึงสิ้นเดือนด้วยซ้ำ ทำไมเอกสารสรุปของทุกแผนกถึงได้ส่งขึ้นมาแล้วล่ะ?

เมื่อตรวจสอบข่าวที่แจ้งภายในเว็บไซต์บริษัท เธอถึงได้เข้าใจ สาเหตุที่แท้เหตุจริงคือพิธีหมั้นหมาย ภวินท์เกรงว่าจะทำงานล่าช้าไป จึงให้ทุกแผนกส่งเอกสารมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ ภาระงานของสำนักงานCEOก็เพิ่มมากขึ้นอยู่ไม่น้อย

ญาธิดามองอีเมล์ที่แจ้งมาทางคอมพิวเตอร์ จนรู้สึกอึดอัดใจ

ซึ่งอีเมล์แจ้งเตือนของภวินท์ไร้การปกปิด มีอะไรก็พูดออกไปตามนั้น เพราะพูดถึงเรื่องงานหมั้นหมายอย่างตรงไปตรงมา

ด้วยเหตุนี้แล้ว คนในบริษัททุกคนทุกแผนกต่างก็รู้ว่าเขาเตรียมจะหมั้นหมายแล้วมั้ง

ซึ่งไม่รู้เพราะเหตุใด ญาธิดารู้สึกหมดหวัง

เธอจัดเตรียมเอกสารที่อยู่ในมือที่จำต้องให้ภวินท์ยืนยัน พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ ถึงได้หยิบเอาเอกสารไปให้ภวินท์

เมื่อผลักประตูเข้าไป ภวินท์เองก็ยุ่งมากเช่นเดียวกัน บนโต๊ะต่างวางเอกสารที่มากกว่าปกติเป็นเท่าตัว

ญาธิดาเดินมุ่งหน้า แสร้งทำทีสงบเสงี่ยม พร้อมทั้งวางเอกสารมุมโต๊ะ “คุณภวินท์คะ เอกสารพวกนี้จำต้องให้คุณตรวจสอบค่ะ”

ภวินท์ส่งเสียงตอบรับ และมีอาการชะงักกับเอกสารที่อยู่ในมือเล็กน้อย พร้อมทั้งช้อนตามองเธอ “คืนนี้ต้องทำโอทีนะ คุณต้องอยู่เป็นเพื่อนผมด้วย”

ญาธิดาเงียบงันชั่วครู่ แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ค่ะ”

เดิมทีพอคิดได้ว่าเธอต้องอยู่กับภวินท์สองต่อสอง เธออยากจะปฏิเสธอ แต่ถ้าขืนทำแบบนั้น ยิ่งเป็นการเปิดเผยในสิ่งที่ต้องการปกปิด ซึ่งสู้ยอมตกลงอย่างเปิดเผยไปเลยดีกว่า

ญาธิดาชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบมองภวินท์ “ถ้าไม่มีอะไรต่อ ฉันขอตัวก่อนค่ะ”

“รอเดี๋ยว”

“ภวินท์วางเอกสารในมือลง พร้อมทั้งมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมมีเรื่องที่ต้องการจะบอกคุณ ทางคุณหมอเธียรชัยได้จัดทำแผนการผ่าตัดใหม่ล่าสุดมาให้ เขาพูดกับผมว่า ตราบใดที่ผลตรวจร่างกายของบิดาของคุณไม่มีปัญหาอะไร ก็สามารถเตรียมผ่าตัดได้ทันที”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์