คิรินถอนหายใจเบาๆ สีหน้าดูหม่นหมองเล็กน้อย “ เปล่า”
ขณะที่พูด เขาหยิบมือถือที่อยู่ข้างๆขึ้นมา เริ่มเล่นเกม
เมื่อเห็นท่าทีเขาเป็นแบบนี้ ญาธิดาสูดหายใจลึกๆ ในใจพอจะเดาอะไรออก
เมื่อกี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไปแตะรอยสะเก็ดของคิริน วันนี้อยากจะให้เขาเซ็นสัญญา กลัวว่าก็อาจจะไม่ได้แล้ว
รออยู่ชั่วครู่เห็นคิรินไม่มีท่าทีจะสนใจเธอ ญาธิดายิ้ม เก็บของเดินออกไป
เมื่อออกจากกองถ่าย ญาธิดามุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลกลาง ไปเยี่ยมดร.ยติภัทรกับคุณปภาวี ตอนที่กินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า “ พ่อคะแม่คะ พวกท่านเคยคิดอยากจะเปลี่ยนสถานที่การใช้ชีวิตไหม”
คุณปภาวีเมื่อได้ฟังที่กำลังฟังพูดเรื่องจุกจิกของครอบครัว ตะลึงไปพักหนึ่ง หันไปมองเธอ ถามด้วยอารมณ์อ่อนไหวว่า “ เป็นอะไร แกอยากจะเปลี่ยนสถานที่การใช้ชีวิตเหรอ”
“ เปล่า..........”
ญาธิดาโดนถามจนสำลัก “ ฉันก็ถามไปอย่างนั้นแหละ”
ดร.ยติภัทรก็หัวเราะและพูดว่า “เมือง J ดีมากเลย จังหวะการใช้ชีวิตก็ไม่ถือว่าเร็วเกินไป สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานก็ครบครัน และฉันกับแม่แกใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ครึ่งชีวิตแล้ว แต่ไหนแต่ไรยังไม่เคยคิดอยากจะเปลี่ยนสถานที่การใช้ชีวิต ”
ญาธิดาพยักหน้า คำพูดที่เอ่อล้นอยู่มุมปากก็พูดไม่ออก
ทันใดนั้น หลังมือรู้สึกอุ่นๆ ดร.ยติภัทรเอามือใหญ่ๆอุ่นๆปิดทับบนมือเธอ พูดเบาๆว่า “ ธิดาเอ๊ย ตอนนี้พ่อไม่ได้นึกถึงอะไร แค่คิดว่าอยากจะออกจากโรงพยาบาลให้ไวไว พวกเราทุกคนในบ้านมีความสุข ชั่วชีวิตฉันคนนี้ ก็เพียงพอแล้ว”
คุณปภาวีหัวเราะและพูดแทรกว่า “เฮ้ไม่ควรพูดแบบนี้ ต้องรอจนธิดาของพวกเราได้แต่งงาน ภารกิจของพวกเราถึงจะถือว่าสำเร็จ ”
ดร.ยติภัทรเอ่ยว่า “ ลูกสาวเราเจอคนที่ชอบก็แต่งงาน หาไม่เจอฉันก็ยอมเลี้ยงเธอทั้งชีวิต”
“ งั้นคงไม่ได้ ฉันไม่สามารถที่ทนเห็นลูกสาวของเราขึ้นคาน ถึงตอนนั้นก็เหมือนฉันหาใครก็ได้มาแต่งงาน นั่นแหละชีวิต จุ๊ ๆ ........ ”
คุณปภาวีกับดร.ยติภัทรพูดกันไปพูดมา เป็นช่วงที่สองคนหยอกล้อกันไปมา
ญาธิดาที่อยู่ข้างๆ ได้แต่หัวเราะ เห็นเหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ กลับรู้สึกอบอุ่นในใจอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าคนในบ้านอยู่ด้วยกันจะเสียงดังเอะอะ แต่กลับรู้สึกอบอุ่น มีความสุข
แต่ว่า.........
เมื่อนึกถึงชีวิตน้อยๆที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ในท้อง ความรู้สึกของญาธิดาก็แสดงออกถึงสายใยอบอุ่นที่บอกไม่ถูก เธอหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือออกไปลูบท้องน้อยเบาๆ รู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้คิดๆดู พาดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีออกจากที่นี่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะเป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ครึ่งชีวิตแล้ว จะตัดขาดความรู้สึกเหล่านี้ได้ยังไงอีก
แต่ทว่า พอคิดอีกที ถ้าเธอไปคนเดียว ทิ้งพ่อแม่ไว้ที่เมือง Jเธอก็ไม่วางใจเหมือนกัน
คิดไปคิดมาอยู่แบบนี้ ญาธิดายิ่งรู้สึกปวดหัว
กลางคืนคุยเล่นเป็นเพื่อนดร.ยติภัทรอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย หลังจากที่ปลอบให้เขาเอนกายพักผ่อน เธอถึงจะออกไป
กลับถึงหอพัก ญาธิดาผลักประตู ในหัวยังคงคิดเรื่องจุกจิกพวกนั้น เธอเปลี่ยนรองเท้า ยังไม่ทันเปิดไฟ จู่ ๆก็ได้ยินเสียงที่แตกละเอียดดังมาจากโซฟาฝั่งนั้น
เธอชะงักไปทั้งร่างกาย แต่เดิมร่างกายที่ผ่อนคลายก็ตึงแน่นขึ้นมาทันที เธอเดินไปดูฝั่งนั้นด้วยความตื่นตระหนก เห็นเงาสีดำรางเลือนที่โซฟาฝั่งนั้น
เธอคว้าไม้กวาดที่อยู่ข้างๆขึ้นมาทันที เสียงสั่นเล็กน้อย “ ใคร”
หรือเป็นขโมย แต่ทว่าขโมยจะเข้ามาได้ยังไงละ ตอนที่เธอเปิดประตูเมื่อกี้ประตูล็อกไว้ดีแล้ว
เธอหายใจเข้าลึกๆ ตอนที่กำลังจะคลำหามือถือในกระเป๋า ก็ส่งเสียงที่คุ้นเคยจากฝั่งนั้นออกมา “ ฉันเอง”
ญาธิดาตกใจเล็กน้อย ผ่านไปสองวินาที ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เปิดสวิตซ์ไฟตรงทางเข้าให้สว่าง
เมื่อไฟเปิด สว่างไปทั่วห้องในทันที เธอถึงจะมองเห็นที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ชัดเจน ไม่ใช่ใครคนอื่น เป็นภวินท์จริงๆ
ญาธิดาที่รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่คอถึงจะวางใจลงได้ แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก็มีปฏิกิริยาตอบโต้อีกครั้ง “ คุณ...ทำไมมาอยู่ที่บ้านฉันได้”
ภวินท์พิงอยู่บนโซฟา ขยับปากเล็กน้อย “ คุณแน่ใจว่านี่เป็นบ้านคุณ”
เริ่มสืบสาวกันขึ้นมา เขานั่นแหละที่เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงของบ้านนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...