หัวหน้าผู้กำกับก็คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ญาธิดาจะเข้ามาคุยเรื่องนี้แบบจริงจังขนาดนี้ เขารีบลุกขึ้นพลางพูดเกลี้ยกล่อมเธอ “มา ธิดา นั่งดื่มน้ำสักหน่อยก่อน”
“พวกเราต่างก็ยอมรับในความสามารถของเธอนะ เพียงแต่ว่าทางคุณภวินท์ก็แค่อยากให้คุณภาพมันดียิ่งขึ้นกว่าเดิมไง ยังไงทุกคนก็ทำงานด้วยกัน ต่างก็เข้าใจกัน มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกันได้จริงไหม”
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ และยังคงยืนกรานว่า “เวลาไม่เคยคอยใคร ทางฉันจะให้ความร่วมมือเต็มที่ แต่ถ้ามันกินเวลานานจนเกินไป ก็คงทำได้แค่รอร่วมมือกันครั้งหน้าเท่านั้นค่ะ”
พูดจบเธอก็หันหลังกลับ ก่อนจะเดินตรงไปทางที่อีธานกับเอลล่านั่งอยู่
เรื่องที่เธอตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ แน่นอน ยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปนานเท่าไหร่ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เธอไม่กล้าเสี่ยง และไม่สามารถเดิมพันในครั้งนี้ได้
ไม่รู้เป็นเพราะว่าสิ่งที่เธอพูดไปวันนี้ได้ผลหรือว่าอะไร เพราะหลังจากถ่ายทำเสร็จอีกสองชุด ทางผู้กำกับส่งไปให้ภวินท์ตรวจสอบแล้ว ไม่ได้ถูกตีกลับมาอีก
วันรุ่งขึ้น หัวหน้าผู้กำกับแจ้งกับญาธิดาว่าภาพตัวอย่างผ่านแล้ว ต่อไปก็สามารถเริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการได้
ญาธิดายืนอยู่ในพื้นที่การถ่ายทำ มองดูเด็กทั้งสองคนถ่ายทำอย่างลื่นไหลคล่องแคล่ว เห็นแบบนี้แล้วเธอก็รู้สึกมีความสุขและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เธอไม่เคยคาดหวังเลยว่าพวกเขาจะสามารถทำเงินให้เธอได้มากน้อยแค่ไหน เธอแค่อยากให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์มากขึ้น และเติบโตเร็วขึ้นก็เท่านั้น
การถ่ายทำในสองสามวันที่ผ่านมาดำเนินไปได้ด้วยดี ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ญาธิดารู้สึกแปลกใจ คือ ภวินท์ไม่มาปรากฏตัวที่กองถ่ายเลยในช่วงสามวันที่ผ่านมา
ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุด
แต่ใครจะรู้ว่าพอตกตอนบ่าย คนที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจอีกคนจะปรากฏตัวที่กองถ่ายอย่างกะทันหัน
เวลาเพิ่งจะผ่านบ่ายสอง แต่อากาศก็ร้อนมาก อีธานกับเอลล่าเพิ่งจะถ่ายรูปหมู่เสร็จ และกำลังพักผ่อนเพื่อคลายร้อน จู่ ๆ ก็มีรถหรูคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดข้างบริเวณกองถ่าย
ไม่นาน ประตูหน้าก็เปิดออก ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวคล้ายกับบอดี้การ์ดก้าวลงจากรถ เดินไปข้างหลังเพื่อเปิดประตูรถ พร้อมกางร่มอีกคัน
ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันมองไปทางด้านนั้นกันหมด
หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำคนหนึ่งก้าวลงมา ใบหน้าถูกบังไว้ ทว่ายังสามารถมองเห็นเรือนร่างสง่างามของเธอได้
ท่าทางอย่างกับดาราสาวยังไงอย่างนั้น
“ใครอ่ะ ใครอ่ะ!”
พวกพนักงานในกองถ่ายที่กำลังพักผ่อนต่างเริ่มส่งเสียงซุบซิบกัน
“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ นั่นก็ภรรยาของบอสใหญ่ของเราไง!”
ทันทีที่ประโยคนี้เข้าถึงหูของญาธิดา เธอก็ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่เหลือบมองไปทางด้านนั้น
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อร่มเลื่อนขึ้นเล็กน้อยและเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาว ท่าทางเย่อหยิ่งแบบนั้น ถ้าไม่ใช่นิวราแล้วจะเป็นใคร?
นิวราเหลือบมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาหัวหน้าผู้กำกับพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณบิ๊ก ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”
ทันทีที่หัวหน้าผู้กำกับเห็นเธอ เขาก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อไปต้อนรับเธอทันที พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มจนรอยเหี่ยวย่นปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน “คุณนิวรา มาได้ยังไงครับเนี่ย! เชิญนั่งทางนี้ก่อนเลยนะครับ”
ทันทีที่ได้ยืนคำเรียกเมื่อครู่นี้ หัวใจของญาธิดาก็สั่นเครืออย่างควบคุมไม่ได้
“ฉันมาหาวินค่ะ ได้ยินว่าช่วงนี้เขาให้ความสนใจกับโฆษณาตัวนี้มาก ฉันก็เลยแวะมาดู”
ขณะที่นิวรากำลังพูด เธอก็เงยหน้าขึ้นพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “เขาไม่อยู่เหรอคะ”
หัวหน้าผู้กำกับทำหน้ายิ้ม ๆ อย่างอึดอัดใจ พลางพูดเบา ๆ ว่า “หลายวันมานี้คุณภวินท์ไม่ได้มาเลยครับ มีแค่ช่วงแรก ๆ ที่มาบ่อย”
“งั้นเหรอ”
ขณะที่พูด นิวราก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
แต่ไม่นานเธอก็ปรับสีหน้ากลับไปเป็นปกติ บนใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะมองผู้กำกับแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะมาไม่ถูกเวลา”
“อ้อ จริงสิ” ขณะที่พูด จู่ ๆ เธอก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปหาบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลัง เชิดหน้าให้เขาหนึ่งทีเพื่อเป็นสัญญาณ ก่อนจะหันไปพูดกับหัวหน้าผู้กำกับต่อ “คุณบิ๊ก ฉันรู้ว่าพวกพนักงานทำงานกันหนักมาก ก็เลยถือโอกาสซื้อชานมเย็น ๆ กับน้ำผลไม้มาให้ เดี๋ยวให้คนของฉันช่วยเอาไปแบ่งให้ทุกคนนะคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...