“ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างเลือดจริงกับเลือดปลอมก็คือ กลิ่น เลือดจริงจะมีกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงมาก...”
ขณะที่กำลังฟังภวินท์แชร์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเขา ญาธิดาก็เริ่มใจลอยโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น คนที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องก็กระโดดออกมาอย่างกะทันหัน เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาว ผมสีดำยาวปกคลุมใบหน้า ดวงตาโบ๋ทั้งสองข้างส่องแสงสีแดงออกมาผ่านเส้นผมที่ปกคลุมอยู่...
จู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าญาธิดา พลางส่งเสียงกรีดร้อง “อ้า” ออกมาให้เธอตกใจ ซึ่งเธอก็รีบหลบตัวไปข้าง ๆ ตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น เธอก็ตกใจวิ่งวนไปมาจนกระแทกเข้ากับแผงอกแข็งแรงของใครคนหนึ่ง และตัวสั่นงันงกด้วยความตกใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปกอดชายคนนั้นไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว โดยที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะเหงนหน้ามองเลย
“กรี๊ด! อย่าเข้ามาอย่าเข้ามานะ!”
“…”
ญาธิดายังคงกรีดร้องด้วยความตกใจ หัวใจเต้นแรงเสียงดัง “ตึกตัก ตึกตัก” และจับมือชายคนนั้นแน่นไม่ยอมปล่อย
จู่ ๆ ท่อนแขนอันแข็งแกร่งของเขาก็โอบกอดเธอไว้ พลางตบหลังเธอเบา ๆ คล้ายกำลังปลอบให้เธอสบายใจ
“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว”
น้ำเสียงของชายคนนั้นฟังดูอ่อนโยนขึ้นมาก เสียงของเขาทั้งต่ำทั้งทุ้ม ทำเอาญาธิดาตัวเกร็งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาของภวินท์แนบชิดอยู่ใกล้ ๆ วินาทีนั้นเลือดภายในร่างกายของเธอก็เหมือนหยุดไหลเวียนไปชั่วขณะ
จู่ ๆ ทุกอย่างในหัวของเธอมันก็ทื่อไปหมด ทำเอาเธอถึงกับชาไปทั้งตัว
ภวินท์หรี่ตาลงมองสีหน้าทื่อ ๆ ของเธอ ก่อนจะกระตุกมุมปากยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ผีตกใจเสียงเธอจนหายไปแล้ว ยังไม่ปล่อยมืออีก?”
ญาธิดาได้สติในทันที เธอรีบปล่อยมือแล้วผลักเขาออกไปห่าง ๆ ก่อนที่ตัวเองจะถอยหลังไปอีกสองสามก้าว
“แม่ครับ เป็นอะไรเหรอครับ”
“แม่...”
เมื่อได้ยินเสียงของเด็กน้อยทั้งสอง ญาธิดาก็สงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย ก่อนจะรีบเอื้อมมือไปจับเขาสองคนไว้ พอเหลือบตามองไปทางภวินท์ แก้มทั้งสองข้างก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ...”
ญาธิดากัดฟันแน่น เธอได้สติขึ้นมาเล็กน้อย พลางจูงมือเด็กทั้งสองคนเดินต่อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินตรงไปตามระยะทางที่เหลือ หัวใจของเธอเต้นตึกตักตึกตักอยู่ตลอดทาง แต่ไม่ใช่เพราะความกลัว
ข้างหูก็มีเสียงหัวเราะเยาะของผู้ชายคนนั้นแว่วดังเข้ามาในหูอยู่ตลอด “ยังไม่ปล่อยมืออีก?”
“ยังไม่ปล่อยมืออีก?”
“…”
ยิ่งคิดแก้มของญาธิดาก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
สุดท้ายหลัวจากเดินวนจนรอบบ้านผีสิงแล้ว พวกเขาก็ได้เดินออกมาข้างนอก ญาธิดาจูงอีธานกับเอลล่าเดินอยู่อีกทาง เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขากับภวินท์
ภวินท์ก้มหน้ามองพวกเขาก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “อีธาน เอลล่ายังอยากเล่นอะไรอีกเอ่ย”
“ผมอยากนั่งรถไฟเหาะ...”
ญาธิดากัดฟันพูดตัดบทของอีธานอย่างกะทันหัน “ไม่เล่นแล้วค่ะ ค่ำมากแล้ว พวกเราต้องกลับกันแล้ว”
ทันใดนั้นสีหน้าแห่งความผิดหวังก็ปรากฏบนใบหน้าของอีธานทันที
เมื่อญาธิดาเห็นเช่นนั้น ในใจของเธอก็รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว แต่พอนึกถึงสิ่งที่นิวราพูดในวันนี้ เธอจึงได้แต่กัดฟันและทำเป็นใจร้าย เงยหน้ามองไปทางภวินท์ แล้วพูดเน้นทีละคำว่า “คุณภวินท์ พวกเราอย่าเจอกันเป็นการส่วนตัวอีกเลยจะดีกว่านะคะ ยังไงพวกเราต่างก็เป็นคนมีครอบครัวแล้วทั้งนั้น เพราะถ้าทำแบบนี้เดี๋ยวมันจะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็นเสียเปล่า ๆ”
ในคำพูดของญาธิดายังมีความหมายอื่นซ่อนอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ภวินท์ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
เขาขยับริมฝีปากอยากจะพูดอะไรสักเล็กน้อย แต่กลับเห็นญาธิดาจูงอีธานกับเอลล่าหันหลัง และเดินจากไปอย่างแน่วแน่
อีธานกับเอลล่ายังคงรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย เด็กน้อยต่างก็หันศีรษะกลับมามองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร
วินาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกบีบแน่นอย่างรุนแรงจนเขาหายใจไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...