ดวงใจภวินท์ นิยาย บท 390

ระหว่างทางที่พาอีธานกับเอลล่ากลับ สีหน้าของญาธิดาก็ดูมืดมน และไม่พูดไม่จาเลยสักคำ

เด็กน้อยสองคนต่างตกใจไปตาม ๆ กัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตลอดทางก็เอาแต่นั่งเงียบอย่างเชื่อฟังโดยไม่กล้าพูดอะไรสักคำ

สุดท้ายอีธานก็ทนไม่ไหว จนต้องเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง “แม่ครับ แม่ไม่ชอบให้พวกเราเล่นกับคุณอาสุดหล่อใช่ไหมครับ”

เมื่อเห็นว่าญาธิดาไม่ตอบ อีธานก็พูดต่ออีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าพวกเราจะไม่ไปเจอเขาอีกแล้วครับ”

เอลล่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ก้มหน้าเงียบอย่างเสียใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “หนูก็ด้วย...”

ญาธิดาเหลือบตามองผ่านกระจกมองหลังเห็นเด็กน้อยสองคนกำลังก้มหน้างุดด้วยท่าทางเศร้าสร้อย แล้วเธอก็ต้องใจอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

“แม่แค่โกรธที่พวกหนูไปไหนมาไหนโดยที่ไม่บอกแม่เลยสักคำ รู้ไหมว่าตอนที่แม่หาพวกหนูไม่เจอแม่เป็นห่วงขนาดไหน”

อีธานสูดน้ำมูก พลางพูดเสียงเบา ๆ ว่า “เข้าใจแล้วครับแม่ พวกเราผิดไปแล้ว”

เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองร้องไห้สะอึกสะอื้น ความทุกข์ในใจของญาธิดาก็หายไปในทันที ก่อนจะรีบพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ ๆ คราวนี้จำไว้เลยนะ คราวหน้าห้ามทำแบบนี้อีก โอเคไหม”

“โอเคครับ เข้าใจแล้วครับแม่!”

ญาธิดาเหลือบตาขึ้นมองกระจกมองหลัง พอเห็นใบหน้าของสองเด็กน้อยกลับมาสดใสร่าเริงอีกครั้งเธอก็กระตุกมุมปากยิ้มตาม

อย่างที่คิดไว้เลย เด็กสองคนนี้เป็นความสดใสของเธอ ถ้าไม่มีพวกเขา เธอก็คงไม่มีความสุขแน่ ๆ

เธอจอดรถไว้ตรงทางเข้าแกรนด์ บูเลอวาร์ด ดึงเบรกมือก่อนจะหันกลับไปพูดกับเด็ก ๆ ว่า “พรุ่งนี้พักผ่อนได้หนึ่งวันนะ อยากไปไหนเอ่ย เดี๋ยวแม่จะพาพวกหนูไป”

“หนูอยากอยู่ที่บ้านวาดรูป!”

“ผมอยากดูทีวี...”

เมื่อฟังคำตอบแล้ว ญาธิดาก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

สองวันมานี้พวกเขาวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกตลอด ซาฟารีปาร์ค สวนสนุกก็เล่นกันจนเบื่อ ย่อมไม่อยากออกไปไหนอยู่แล้ว

ญาธิดายิ้ม “โอเค อนุญาตให้อยู่ที่บ้านได้หนึ่งวัน”

พรุ่งนี้เธอตั้งใจจะไปดูสตูดิโอเจนนิเฟอร์อยู่พอดี ไปดูเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ ทำให้งานของเธอก้าวหน้าบ้างสักหน่อย

เพราะอีธานเอลล่าใกล้จะเสร็จงานแล้ว งานของเธอก็ต้องเร่งให้รีบเสร็จไปเหมือนกัน จะได้ไปจากเมือง Jสักที

ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย

เช้าวันรุ่งขึ้น “ญาธิดาให้ อีธานกับเอลล่าอยู่ที่บ้าน และฝากให้ดร.ยติภัทรกับคุณปภาวีช่วยดูแลพวกเขา ก่อนจะขับรถออกจาแกรนด์ บูเลอวาร์ด ตรงไปยังสตูดิโอของเจนนิเฟอร์”

ระหว่างทางเธอนึกขึ้นได้ว่าครั้งก่อนธีทัตเคยบอกกับเธอว่า เจนนิเฟอร์ชอบดอกลิลลี่ป่า เธอจึงตั้งใจไปแวะร้านดอกไม้เพื่อซื้อดอกไม้สักช่อ

ที่ตั้งของสตูดิโอของเจนนิเฟอร์แปลกมาก เพราะตั้งอยู่ในตึกเก่าใกล้กับใจกลางเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน ต้องเดินผ่านตรอกซอกซอยคดเคี้ยวลึกลับก่อนกว่าจะหาเจอ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในย่านใจกลางเมือง มีสไตล์ไปอีกแบบ

แต่ตั้งอยู่ในตรอกซอกซอยแบบนี้ถือเป็นการทดสอบทักษะการขับของญาธิดามาก เธอขับอย่างระมัดระวังตลอดทางด้วยความหวาดระแวง กว่าจะจอดรถบนถนนลูกรังหน้าสตูดิโอได้

เธอลงจากรถพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ ก่อนจะกดกริ่งหน้าประตู เพียงไม่นานผู้หญิงที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มาเปิดประตูให้เธอ

ซึ่งก็คือผู้ช่วยของเจนนิเฟอร์ที่เคยเจอกันครั้งที่แล้ว

ขณะที่เดินตามเธอเข้าไปด้านใน ญาธิดาก็เอ่ยถามว่า “วันนี้คุณเจนนิเฟอร์อยู่ไหมคะ พอดีฉันอยากมาดูเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ อยากจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับงานสักหน่อย”

พอผู้ช่วยมิลค์ ได้ฟังเธอก็ได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน “วันนี้คุณเจนนิเฟอร์ไม่อยู่ค่ะ เธอมีธุระออกไปข้างนอก ฉันนึกว่าคุณจะมาเอาเสื้อผ้าซะอีก”

พอได้ยินว่าเจนนิเฟอร์ไม่อยู่ญาธิดาก็แอบผิดหวังเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่สักพักเธอก็หันมองมิลค์ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าฉันค่อยมาใหม่แล้วกันค่ะ เดี๋ยวฉันจะโทรมาแจ้งล่วงหน้าเพื่อยืนยันอีกที”

มิลค์ พยักหน้า ก่อนจะยื่นนามบัตรของสตูดิโอมาให้ “ได้ค่ะ โทรมาเบอร์นี้ได้เลยค่ะ”

ญาธิดายิ้มและพยักหน้า “โอเคค่ะ ดอกไม้ช่อนี้คุณรับไว้แทนคุณเจนนิเฟอร์แล้วกันนะคะ”

“ค่ะ”

หลังจากบอกลามิลค์แล้ว ญาธิดาก็หันตัวเดินกลับออกมา

ทีแรกนึกว่าวันนี้จะได้เจอเจนนิเฟอร์ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้

ญาธิดายิ้มพลางส่ายหน้าไปมา เดินออกจากประตูแล้วขึ้นไปบนรถ

หลังจากขึ้นรถแล้ว เธอถึงพบว่าจากความกว้างของตรอกนี้ถ้าจะกลับรถคงจะลำบากพอสมควร แต่ถ้าขับต่อไปข้างหน้าเธอก็ดันไม่รู้อีกว่ามันจะไปทะลุตรงไหน

ญาธิดามองซ้ายหันขวา เมื่อเห็นว่าด้านหน้าด้านหลังไม่มีรถอยู่เธอก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนจะกัดฟันหมุนพวงมาลัยช้า ๆ เพื่อจะกลับรถ

ทุกครั้งที่กลับรถไปได้เล็กน้อย เธอก็ต้องถอยหลังกลับมาทุกที ถอยกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังกลับรถไม่ได้อยู่ดี

ญาธิดาร้อนใจ จนเหงื่อเริ่มผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เธอหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามอีกครั้งอย่างช้า ๆ กว่าจะถอยรถได้ในที่สุด

เธอแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก กำลังจะเหยียบคันเร่งรถ แต่ใครจะรู้ว่าจะมีรถหรูคันดำขับเข้ามา

ตรอกซอยแคบขนาดนี้ แค่พอจะให้รถสองคันขับผ่านกันได้ แต่ว่านั่นมันสำหรับคนที่มีทักษะการขับรถยอดเยี่ยมทั้งสองคน แต่สำหรับญาธิดาแต่กลับรถเมื่อกี้ ตัวรถก็ยังเอียงอยู่เลย พอตอนนี้เห็นรถคันนั้นขับเข้ามาเธอตกใจจนไม่กล้าขยับมั่วซั่วเลย

จะทำยังไงล่ะทีนี้?

ญาธิดานั่งอยู่ที่เบาะฝั่งคนขับ กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ อย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อดี

แล้วจู่ ๆ รถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็บีบแตรใส่เธอจนญาธิดาตัวเกร็ง ก่อนจะได้สติและค่อย ๆ หมุนพวงมาลัยไปทางขวา

รถทั้งสองคันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ขับผ่านกันไปอย่างช้า ๆ และในขณะที่ญาธิดากำลังแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก จู่ ๆ ก็มีเสียงดัง “ครืด” ดังมาจากท้ายรถ

ซวยแล้ว!

ญาธิดาตกใจแล้วรับเหยียบเบรกทันที เธอเอารถจอดสนิทแล้วรีบผลักประตูลงไปทันที

ด้านนอกรถ ท้ายรถทั้งสองกันเสียดสีกันอย่างแนบแน่น

ญาธิดาตัวเกร็ง เหลือบตามองป้ายทะเบียนรถคันสีดำก็ต้องตกตะลึงในทันที

เฉียดรถคนอื่นเขาก็แย่แล้ว ทำไมต้องมาเฉียดรถราคาแพงแบบนี้ด้วยเนี่ย!

ขณะที่เธอกำลังเสียสติ จู่ ๆ ประตูรถสีดำก็เปิดออก ผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นบอดี้การ์ดเดินลงมา สีหน้าเขาทั้งเคร่งขรึมทั้งเย็นชา สายตาจับจ้องมาที่ญาธิดาแล้วพูดว่า “คุณ มานี่สิ”

จู่ ๆ หัวใจของญาธิดาก็ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ เธอคงไม่ได้มีเรื่องกับคนที่ไม่ควรจะมีเรื่องด้วยหรอกนะ มองแบบนี้แล้วก็น่ากลัวเหมือนกันนะ

หัวใจของเธอเต้นเร็ว แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าก้าวออกไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ฉันขอโทษนะคะ คุณจะให้แก้ปัญหายังไงคะ เดี๋ยวฉันจะโทรเรียกบริษัทประกันเดี๋ยวนี้เลย”

ชายคนนั้นเหลือบมองเธอก่อนจะเชิดคางให้เธอเล็กน้อย “มีอะไรก็ไปบอกกับเจ้าของรถเถอะ”

ญาธิดายังไม่ทันได้สติ ประตูด้านหลังก็เปิดออก ก่อนที่เธอจะถูกผลักเข้าไปด้านใน เธอตกใจ แต่เมื่อหันไปมองคนข้าง ๆ เธอก็ถึงกับอึ้งไปทันที

เขาคือ... คิริน!

ใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏบนจอโฆษณาในห้างสรรพสินค้าทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ทั่วเมือง J ตอนนี้กลับมาอยู่ใกล้แค่นี้

ญาธิดาตกใจสุดขีด “ทำไม...เป็นคุณล่ะ”

คิรินกระตุกยิ้ม ดวงตาคู่นั้นราวกับล้อมรอบไว้ด้วยกาแล็กซี แวววาวระยิบระยับมีเสน่ห์น่าหลงใหล เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ผม แล้วคุณอยากให้เป็นใครล่ะ”

จากนั้นยังไม่ทันที่ญาธิดาจะได้เอ่ยปาก เขาก็ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะขยิบตาให้เธอแล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ผู้ช่วยตัวน้อย”

ญาธิดาดังนั้น จู่ ๆ ก็มีอะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว วินาทีนั้น เธอก็นึกขึ้นได้

ประโยคนี้ มันคือประโยคที่เธอเห็นบนการ์ดที่เขียนติดไว้กับช่อดอกทานตะวันในวันนั้นไม่ใช่เหรอ? ตอนนั้นเธอนึกว่าพี่โอ๊ตเป็นคนให้ซะอีก คิดไม่ถึง...

ญาธิดาถามกลับว่า “คือคุณเหรอ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์