ญาธิดานั่งอยู่ข้างเตียง แผ่นหลังแข็งทื่อ นั่งไม่ติดสติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขนาดจะหายใจแรงๆ ก็ยังไม่กล้าเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ภวินท์ได้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเธอ เธอก็เดินกลับไปตั้งนานแล้ว คงไม่อยู่รออยู่แม้สักครึ่งนาทีหรอก
สามนาทีให้หลัง ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหน้ามามองผู้ชายที่อยู่บนเตียง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบไร้ความหวั่นไหวใดๆ “โอเคแล้วนะ ดึกมากแล้ว ฉันควรจะกลับได้แล้ว”
การอยู่เป็นเพื่อนเขามาหลายนาทีนี้ ถือว่าเต็มขีดจำกัดความอดทนของเธอแล้ว
ทว่าใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นมือข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บออกมา พลันคว้าข้อมือเธอเอาไว้แน่น พร้อมทั้งเอ่ยปากพูดโดยไม่มีการลังเลสักนิด “ญาธิดา ทำไมคำขอบคุณของคุณมันมีราคาค่างวดที่ถูกขนาดนี้เนี่ย แค่สามนาทีเองเนี่ยนะ?”
ญาธิดาขมวดคิ้วนิ่วหน้าทันที และพูดสวนกลับไม่ทันในเวลานั้น
จู่ๆ พลันมีเรี่ยวแรงดึงเธอมาจากทางด้านหลัง ร่างกายเธอเอียง จนพาดครึ่งตัวอยู่บนเตียง และล้มทับอยู่บนกลางแผงอกของภวินท์ ระยะห่างของทั้งสองคนกระชับขึ้นทันที พอญาธิดาแหงนหน้าขึ้น ก็รู้สึกถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวของชายหนุ่มที่พ่นรดกลางหน้าผากของเธอ ซึ่งมันจั๊กจี้ จั๊กเดียมชะมัด
พอเธอแหงนหน้าขึ้น ก็สบตาดวงตาดำขลับคู่นั้นของเขาเข้าอย่างจัง หัวใจด้านในกลางแผงอกหยุดเต้น พลันเกิดความร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ระยะห่างแค่นี้ เป็นระยะห่างที่คลุมเครือมาก แค่เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมา ก็สามารถจุมพิตหน้าผากของเธอได้แล้ว
ทันใดนั้น เบื้องหน้าดำมืด ญาธิดารู้สึกมีสิ่งของอะไรบางอย่างมาบดบังสายตาของตนเอง ตามมาติดๆ เป็นริมฝีปากของชายหนุ่มที่ค่อยๆ สัมผัสริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา
ในวินาทีนั้น มีสิ่งของบางอย่างที่เปลี่ยนเป็นความหมายลึกซึ้งขึ้นมาทันที ร่างกายญาธิดาแข็งทื่อ ราวกับถูกคนสะกดจุด จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย
ภวินท์ก้มศีรษะลง เพื่อมองหญิงสาวที่แสดงอาการตกตะลึงอยู่กลางอ้อมกอด มุมปากโค้งขึ้น รอยยิ้มในดวงตาเพิ่มมากขึ้นเยอะ
จังหวะที่ญาธิดายังไม่ทันตั้งสติกลับมาทัน เขาก้มศีรษะลง พร้อมทั้งประกบริมฝีปากเธออีกครั้ง ซึ่งไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว การจูบในครั้งนี้ช่างอ่อนโยนและอ้อยอิ่ง จนทำให้คนตกหลุมพรางในวังวนของศัตรู...
ชั่วขณะนี้ ซึ่งมาจากสัญชาตญาณโดยทั้งหมด โดยที่ไม่ความลังเลหรือความพะวงหน้าพะวงหลังสักนิด เขาก็แค่อยากจะจูบเธอในวินาทีนี้ ต้องการเธอ...
จังหวะที่มือของเขาเกร็งหัวไหล่ของเธออย่างเต็มที่ ญาธิดาถึงได้สติกลับมาทันที เธอเอื้อมมือออกมาดันแผงอกของชายหนุ่มตามจิตใต้สำนึก เพื่อต้องการจะสร้างระยะห่างของทั้งสองคน
“คุณ...ปล่อยฉันนะ!”
ญาธิดาตื่นตระหนกทันที จนถึงขั้นลืมไปเสียสนิทว่ามือของภวินท์ได้รับบาดเจ็บ เธอใช้แรงผลักออก แต่มือกลับผลักไปโดนแขนข้างนั้นที่เขาได้รับบาดเจ็บมาอย่างบังเอิญ วินาทีนั้น ภวินท์ย่นคิ้วเข้ากัน พร้อมทั้งเปล่งเสียงโอดโอยออกจากริมฝีปาก
ญาธิดาตัวเกร็งทันที จนได้สติทันที พลันเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน และไม่กล้าจะแสดงพฤติกรรมใดๆ ต่อ หัวใจเธอแขวนอยู่บนเส้นด้าย พลันเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “โดนแขนคุณแล้วใช่มั้ย? เจ็บมากมั้ย?”
ภวินท์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ พลางเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาฉายรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เป็นห่วงผมเหรอ?”
ญาธิดามีสติอย่างทันท่วงที จึงเก็บอาการความเป็นห่วงเป็นใยที่แสดงบนสีหน้าทันควัน และรีบตอบปฏิเสธตามจิตใต้สำนึกทันที “ใครเป็นห่วงคุณ!”
“งั้นเหรอครับ?” ภวินท์หรี่ตามอง ราวกับมองเธอทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว พลันพูดสื่อความหมายอันลึกซึ้งอย่างอื่นขึ้นมาแทน “ทั้งที่ไม่เป็นห่วงผม แล้วทำไมคุณต้องหน้าแดงด้วย?”
เกรงว่าตัวเธอเองก็คงไม่รู้ แก้มของเธอรวมถึงใบหูต่างก็แดงแจ๋ ชมพูระเรื่อ น่ารักน่าชังชะมัด
เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ญาธิดาย่นคิ้วหากันฉับพลัน พลันสวนปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้!”
ทำไมเธอจะมาทำหน้าแดงใส่ต่อหน้าภวินท์ด้วยล่ะ! ถ้าเป็นญาธิดาเมื่อห้าปีก่อนบางทีก็อาจเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เธอเลยช่วงวัยที่จะมาหน้าแดงหัวใจเต้นรัวไปตั้งนานแล้ว ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมาหน้าแดงให้เขาเพราะเรื่องยิบย่อยแบบนี้
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของหญิงสาว ภวินท์ก็ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะร่า “ผมจะบอกคุณให้ว่าตรงไหนมันแดงนะ”
เขาพูด พร้อมทั้งยื่นมือออกมาจับปลายคางของญาธิดาเอาไว้อย่างแผ่วเบา พลันประทับจูบแก้มและใบหูของเธอ
“ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ยังมีตรงนี้...”
วินาทีนั้น ญาธิดารู้สึกว่ามีกองเพลิงสุมอยู่ในร่างกาย มันร้อนผ่าวแผดเผาสติสัมปชัญญะของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...