ร่างกายญาธิดาแข็งทื่อทันที พลันมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับทันควัน เธอหันหน้าไปอีกทางอย่างเขินอาย พลันหยิบกระจกพับจากกระเป๋าขึ้นมาเปิดทันที
ในกระจก ลิปสติกสีแดงของเธอมีรูปปากเป็นวงกลมเคลือบอยู่ พลันเป็นคำบอกใบ้จากความบริสุทธิ์โดยแท้จริง ซึ่งเป็นการทาลิปสติก “Snogged lips” ตามเทรนด์
เมื่อครู่เธอเพิ่งจะวิ่งเสนอหน้าด้วยริมฝีปากแบบนี้? มิน่าล่ะตอนที่เดินผ่านคนหลายคนถึงมองเธอเหมือนกับมองลิงเลย
ญาธิดาทั้งอายทั้งโกรธ พร้อมทั้งหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดริมฝีปากอย่างเต็มแรง
พยัคฆ์เห็นเธอเป็นแบบนี้ พลันยิ้มและเอ่ยปากพูดปลอบใจเธอทันควัน “พี่ธิดา ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องนี้ผมไม่บอกคนอื่นหรอกน่า”
ญาธิดาอยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก พลันอยากพูดแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ถึงอย่างไรเรื่องมันก็เกิดขึ้นตามที่พยัคฆ์คิดอยู่จริงๆ แต่ว่า...ทั้งๆ ที่เธอ...เธอโดนขโมยจูบเข้าใจมั้ยเนี่ย!
พอคิดถึงเรื่องนี้ ญาธิดาถึงได้อะลุ่มอล่วยในใจตนเองมากขึ้น เธอรีบจัดการเช็ดริมฝีปากของตนเองทันควัน จากนั้นก็แสร้งพูดด้วยความหนักแน่น “พอเลย รีบขับรถออกเร็ว ไปส่งฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้”
พยัคฆ์ขยิบตาให้เธอ พลันพูดพร้อมทั้งหัวเราะให้ “Yes, sir!”
40นาทีหลังจากนั้น ญาธิดากลับมาถึงแกรนด์ บูเลอวาร์ด หัวใจที่ไม่ยอมกลับมาเป็นปกติเมื่อครู่นี้ค่อยๆ นิ่งลงมาเรื่อยๆ
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า แถมยังตั้งใจส่องกระจกเพื่อดูแผลทางด้านหลัง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้ามาด้วยหรือเปล่า รอยแผลที่ตกสะเก็ดเหล่านั้นมันแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ซึ่งถูกต้องเหมือนที่ภวินท์พูดไว้ทุกอย่างจริงๆ
ดูเหมือนว่า เขาไม่ได้พูดมั่วซั่วจริงๆ ด้วย
เธอแอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา พลันเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอน ทันใดนั้นก็คิดถึงนามบัตรที่ชวิศยื่นให้เธอ เธอจึงไปหยิบเสื้อคลุมมา เพื่อค้นหาในกระเป๋าเสื้อ
ในกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างว่างเปล่า เหมือนไม่มีอะไรใส่ไว้เลย
ญาธิดาไม่ลดละความพยายาม พลันคว่ำกระเป๋าลง คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดต่างเทลงบนหน้าโต๊ะ เมื่อวนหาซ้ำไปซ้ำมา ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนามบัตรสักนิด
หรือว่าเธอทำหายไปแล้ว?
เธอหวนความคิดอย่างละเอียด แต่กลับไม่มีความทรงจำสักนิด เธอวนหาซ้ำไปมาก็หาไม่เจอ และเหมือนมั่นใจได้ว่านามบัตรใบนั้นมันหายไปจริงๆ แล้ว!
เธอกัดริมฝีปากอย่างโกรธเคือง อดใจไม่ไหวจนอยากตำหนิตนเองสักรอบ แต่มันก็หายไปแล้ว หาไม่เจอแล้วด้วย
เหมือนว่า ทำได้เพียงเอาไว้วันอื่นค่อยไปหาพี่เข้มเพื่อขอช่องทางการติดต่อชวิศอีกครั้ง
เมื่อคิดเช่นนี้ ความกังวลใจของเธอค่อยๆ ผ่อนคลายลง แต่เมื่อหลับไปแล้ว เธอทิ้งเรื่องนี้ไว้เบื้องหลัง และในระยะจากนั้นมาก็ไม่คิดถึงอีกเลย
กระทั่งช่วงบ่ายในวันที่สอง เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์แปลกเบอร์หนึ่ง เธอกวาดตามอง เพื่อมองตัวเลขยาวเป็นหางว่าว มักรู้สึกว่าเป็นเบอร์ Call Center จึงกัดตัดสายทิ้งทันที
ใครจะรู้ว่าทิ้งระยะห่างไปสักพัก โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอย่นคิ้วเข้าหากัน พลันกดรับสายทันที
“ฮัลโหลค่ะ?”
ปลายสายชะงักทันที พลันมีเสียงหัวเราะละมุนของชายหนุ่มดังขึ้น “ญาธิดา คุณนี่เก่งจริง”
ญาธิดาตกตะลึง พลางชะงักอยู่ชั่วครู่ ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา “คุณ…ชวิศ?”
เขาหัวเราะเยาะใส่ “คิดถึงผมเหรอ?”
“มะ ไม่ใช่ค่ะ ฉัน...”
เดิมที่เธออยากจะพูดว่าเธอไม่ทันระวังจนทำนามบัตรหายไปแล้ว แต่พูดออกไปแบบนี้ มันช่างเป็นเรื่องกระดากปากมาก จนพูดไม่ออก
มีเสียงหัวเราะของชวิศดังกลับมาอีกครั้ง “ขอให้คนอื่นช่วย แถมยังให้คนอื่นเป็นคนติดต่อเข้ามาเองอีก ตัดสายทิ้งก็มีด้วย ช่างถือตัวจริงๆ เลยนะเนี่ย”
แม้จะฟังออกมาว่าเขากำลังล้อเล่นกับเธอ แต่ลำคอญาธิดาตีบตันทันที ด้วยความรู้สึกละอายใจจึงสวนกลับไม่ทัน
หลังจากนั้นชั่วครู่ เธอถึงพูดกล่าวออกมา “ขอโทษค่ะ เอาไว้วันอื่นฉันค่อยเลี้ยงข้าวคุณนะคะ ครั้งนี้ถือว่าฉันทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจริงๆค่ะ”
น้ำเสียงของชายหนุ่มดังมาจากปลายสาย “ตกลงครับ งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกันครับ”
ญาธิดาตกตะลึงทันที
ง่ายแบบนี้เลย? แค่ข้าวมื้อเดียวก็ถือว่าจัดการได้เรียบร้อยแล้วเหรอเนี่ย?
เธอยังไม่ทันถามไถ่ด้วยซ้ำ เสียงของชวิศก็ดังมาจากปลายสายอีกครั้ง “รูปที่สเก็ตช์ภาพเอาไว้ผมได้ให้คนเข้าไปค้นหาใน Smart Libraryเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่พวกเขาโผล่หัวออกมาท่ามกลางกล้องวงจรปิด ตัวกล้องวงจรปิดจะทำการวิเคราะห์อย่างอัตโนมัติ จากนั้นก็จะถ่ายโอนข้อมูลมาถึงเครื่องเทอร์มินัลทันที”
เมื่อญาธิดาได้ยินก็ตกตะลึงทันที “ไม่ต้องส่งคนไปสืบหาหรือคะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...