ภายในส่วนบุคคลที่กว้างขวาง เหล่าบอดี้การ์ดชุดดำต่างนั่งล้ออยู่บริเวณรอบๆ มีญาธิดานั่งอยู่ตรงกลาง กำลังกอดลูกแฝดไว้ในอ้อมกอดแน่น
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้
แม้ว่าจะยังควบคุมความกังวลที่อยู่ในใจไม่ได้เหมือนอย่างเคย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นไม่ตื่นตระหนก
“แม่คะ หนูกลัว…..” เอลล่ามุดหัวอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ร่างกายเล็กๆสั่นเทิ้มไปหมด
ด้านอีธานถึงจะแสดงออกว่ากลัวเหมือนกัน แต่ก็ยังจับมือน้องสาวไว้แน่น “ชู่ว เราต้องเป็นเด็กดีนะ อย่าสร้างความเดือดร้อนให้แม่”
ภาพตรงหน้าทำเอาหัวใจของญาธิดาบีบรัดแน่น กรอบตาเริ่มแสบร้อนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เธอตบหลังเอลล่าเบาๆ เอ่ยปลอบเสียงนุ่มนวลว่า “แม่อยู่นี่ ไม่มีใครทำอะไรลูกได้ทั้งนั้น เป็นเด็กดีนะ”
พูดจบ เธอก็จับหัวของลูกๆเข้ามาแนบกับตัว แล้วใช้มือทั้งสองข้างปิดหูพวกเขาไว้คนละข้าง จากนั้นก็เงยหน้ามองชายหนุ่มชุดดำที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า
“พวกนายเป็นคนของใคร?” เธอพยายามปรับอารมณ์ให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ดูสงบเยือกเย็น
ชายชุดดำที่เป็นหัวหน้ากวาดตามองเธออย่างเรียบนิ่ง ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะอีกฝ่ายจะสนใจเธอ ดวงตาระยิบระยับทั้งสองคู่จึงหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง ขณะที่กำลังจดจำป้ายบอกทางต่างๆ ก็ยังใช้คำพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย
“โรงพยาบาลติดกล้องไว้ทุกที่ พวกนายพาตัวฉันออกมาโต้งๆแบบนี้ คิดว่าจะยังขับรถไปได้ไกลอีกเท่าไหร่?”
ระหว่างที่พูด เธอก็ค่อยๆปล่อยมือจากหูของอีธาน ใช้ร่างกายของลูกบังโทรศัพท์ที่กำลังถูกล้วงหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อตัวนอก มาไว้กับตัว เผื่อเกิดอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อกับโลกภายนอกได้
เธอกระทำการสิ่งนี้เสร็จ ยังไม่ทันได้หายใจได้โล่งคอ ชายชุดดำที่เอาแต่เงียบอยู่ตลอดก็เอ่ยพูดขึ้นมากะทันหัน
“คุณญาธิดาไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้ครับ พวกผมไม่สนใจโทรศัพท์ของคุณหรอก คุณอยากโทรหาคุณภวินท์ก็โทรได้เลย”
เขาพูดยังไม่จบดี ญาธิดาก็รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆบริเวณเอว ไม่เห็นก็พอจะรู้ว่าอะไรกำลังจี้เอวของเธออยู่
ขณะเดียวกันชายชุดดำคนนั้นก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “พวกผมไม่ได้มุ่งร้าย แล้วก็ไม่ได้จะทำอะไรคุณด้วย ก็แค่อยากเชิญคุณไปเป็นแขก เพราะฉะนั้นแล้วทางที่ดีคุณควรให้ความร่วมมือกับพวกเราจะดีกว่า”
“เชิญไปเป็นแขก?!” เธออดไม่ได้ที่จะยืดตัวตรง พร้อมถลึงตาใส่เขาอย่างโมโห “ฉันเพิ่งรู้ว่าการเชิญเขาทำกันแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย!”
ขณะที่พูดรถก็จอดลงตรงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่งอย่างนิ่งสนิท
ญาธิดาลงจากรถพร้อมกวาดสายตามองคฤหาสน์ตรงหน้า แสงแดดแยงสายตาอย่างไม่ทันระวังตัว
Merliamตั้งอยู่บริเวณชานเมืองที่ห่างไกลผู้คนของเมือง J แถมยังสร้างอยู่บนภูเขา องค์ประกอบของคฤหาสน์หลังใหญ่เทียบเท่าภูเขาลูกหนึ่งสร้างมาจากทองคำชนิดพิเศษ นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้สถานที่แห่งนี้สว่างจ้าผิดปกติท่ามกลางแสงแดด
“คุณญาธิดาเชิญ…….”
หลังจากทำการสแกนใบหน้าและตรวจร่างกายเสร็จ ชายหนุ่มชุดก็เชิญให้เข้าไปในคฤหาสน์
การตกแต่งในห้องโถงไม้ถือว่าหรูหรา ยังคงมีกลื่นอายแบบโบราณดั้งเดิม ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังอมยิ้มพร้อมมองมายังทิศทางที่เธอกำลังเดินเข้ามา
ญาธิดายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา ชั่ววินาทีที่สองสบสายตากัน ความหนาวเหน็บพลันเข้าจู่โจม พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หันหน้าหลบอีกฝ่าย
เหมือนชายหนุ่มจะดูออกว่าเธอกำลังหวาดกลัว จึงยิ้มกว้างกว่าเดิมแต่รอยยิ้มกลับส่งไม่ถึงดวงตา เขาผายมือเชิญให้เธอนั่ง จากนั้นก็เอ่ยพูดเสียงต่ำว่า “คุณญาธิดาฉลาดกว่าที่ผมคิดเอาไว้เลยนะครับ น่าเสียดายที่ยังขาด……”
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กดข่มความลนลานและหวาดกลัวในใจเอาไว้ แล้วค่อยๆเอ่ยพูดว่า “เรามาพูดกันตรงๆเถอะ คุณต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่ลุกขึ้นไปนั่งยองๆตรงหน้าอีธานกับเอลล่า พออยู่ต่อหน้าเด็ก ความดุดันของเขาก็ลดลงเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยพูดยิ้มๆว่า “ลูกของวินเติบโตมาอย่างดีแบบที่คิดเอาไว้เลยนะ”
เมื่อเห็นเขาสนใจเด็กๆ ญาธิดาก็ไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไป ยื่นมือออกมาปกป้องลูกไว้ข้างหลัง เอ่ยพูดอย่างร้อนรนว่า “อยู่ให้ห่างจากพวกเขา ไม่อย่างนั้นฉันกับคุณไม่ใครคนหนึ่งก็ตายกันไปข้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...