“ถ้าคุณดึงดันอยากจะทำตามใจตัวเองโดยไม่รับฟังคำของคนอื่น ฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ จับจ้องตรงไปทางเขา “ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ฉันจะฟ้องคุณในข้อหาพยายามลักพาตัว”
ภวินท์เลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ฟ้องแล้วจะได้อะไร? คุณแน่ใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าตัวเองจะชนะ?”
“พิจารณาครั้งแรกไม่ผ่านก็ไปพิจารณาครั้งที่สอง ครั้งที่สองยังไม่ได้ก็ยื่นอุทธรณ์ใหม่ สรุปแล้วก็คือฉันจะไม่มีทางเปิดโอกาสให้คุณได้เข้าใกล้เอลล่าแน่นอน”
เธอเชิดใบหน้าขึ้นสูงและแสดงท่าทีเหมือนต้องการต่อสู้กับเขาจนถึงที่สุด “แค่อำนาจของSTN Groupในเมือง J การแข่งขันต่อสู้กับคุณมันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะเอาชนะฉันได้”
เมื่อภวินท์ได้ยินแบบนั้นก็กระตุกมุมปากยิ้มด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา ก่อนจะยิ้มเยาะออกมา “ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของคุณ ผมนึกว่าคุณจะเป็นคนซื่อตรงเปิดเผยมากซะอีก”
“จัดการกับคนอย่างคุณ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเปิดเผยโปร่งใสหรือตรงไปตรงมาอะไรพวกนั้นหรอก!” เธอถลึงตาใส่เขาก่อนจะดึงมือของเอลล่าอย่างโกรธจัด แล้วสองแม่ลูกก็เดินตามกันออกจากโต๊ะอาหารไป
เอลล่าไล่ตามฝีเท้าของผู้เป็นแม่ไปอย่างลังเล พลางหันมองกลับไปทางภวินท์เป็นระยะ ๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเลใจ
ภวินท์ส่งสายตาเหมือนกำลังปลอบโยนให้เธอพร้อมกับแกว่งโทรศัพท์ไปมาเธอถึงได้รู้สึกโล่งอก และรีบสาวเท้าเดินตามผู้เป็นแม่ไป ก่อนที่แผ่นหลังของทั้งสองคนจะหายลับไปจากร้านอาหาร
บรรยากาศภายในรถดูอึมครึมเล็กน้อย ญาธิดาเบือนหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเธอเลยสักนิด เอลล่าทำใจกล้าฉีกยิ้มอย่างประจบสอพลอพลางโอบรอบแขนของผู้เป็นแม่
“ท่านแม่อันเป็นที่รัก ครั้งนี้หนูมีตาหามีแววไม่ หลงเชื่อคำหลอกลวงของคุณลุงใจร้ายคนนั้น ท่านแม่อย่าโกรธหนูเลยนะคะ ยกโทษให้หนูสักครั้งเถอะนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดทะเล้นของเธอสีหน้าของญาธิดาก็ดูอ่อนลง ทว่ายังคงเมินเฉยกับการกระทำของเธออยู่ดี และได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาแทนคำตอบ
เอลล่าสังเกตสีหน้าของเธออย่างระแวดระวัง ก่อนจะนึกถึงบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่นี้แล้วพูดอย่างหยั่งเชิงว่า “คุณลุงมาคุยกับหนูเรื่องเซ็นสัญญาจริง ๆ นะคะ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย เพราะแบบนั้นหนูเลยไม่ได้ระวังตัวและต่อต้านเขา”
ญาธิดาหันไปมองลูกสาวสุดที่รัก เห็นดวงตาใสแป๋ว ใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ ท่าทางเหมือนไม่ได้พูดโกหก เห็นแบบนี้แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ถ้าเป็นอีธานเธอคงไม่เป็นกังวลมากขนาดนี้
เธอไม่อยากให้ลูก ๆ ทั้งสองคนของเธอต้องเดินตามเส้นทางเดิมของเธอกับวิน ดังนั้นเธอจึงพยายามปกป้องความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเอลล่าอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดที่ไม่ให้เธอแตะต้องเรื่องธุรกิจและไม่ให้เธอติดต่อกับ ozone และหวังเพียงว่าเธอจะเติบโตขึ้นอย่างไร้เรื่องที่ต้องเป็นกังวล
ด้วยเหตุนี้เธอจึงอธิบายให้เอลล่าฟังไม่ได้ว่าคุณภวินท์คนนี้เป็นคนมากเล่ห์เพทุบาย และไม่สามารถบอกเธอได้ด้วยว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้อันตรายมากจนอาจจะคร่าชีวิตของเธอได้
เมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง เอลล่าก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากกว่าเดิม
เธอรีบโผเข้าไปในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและทุกข์ใจ “ถ้าแม่ไม่ชอบ ถ้าอย่างนั้นต่อไปหนูจะไม่เจอกับคุณลุงคนนี้อีกแล้ว แบบนี้ก็จะไม่สร้างปัญหาให้คุณแม่แล้ว”
เมื่อญาธิดาได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ่งอึดอัดใจ เธอลูบผมของเอลล่าเบา ๆ คำพูดนับพันติดอยู่ในลำคอของเธอ และสุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมา
เมื่อทั้งสองกลับไปถึงบ้านพักของตระกูลสถิรานนท์ อีธานก็นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้บ่นเอลล่า สีหน้าที่ยากจะคาดเดาของเขาให้ความรู้สึกเหมือนเขารู้ทุกอย่างทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว
เอลล่าหลบสายตาของพี่ชายโดยไม่รู้ตัว เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำอะไรโดยทีปิดบังพี่ชายของเธอ ดังนั้นจึงแอบรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย
“เอลล่า...”
น้ำเสียงเย็นชาดังขัดขึ้นระหว่างทั้งสองคนอย่างกะทันหันทำเอาเอลล่าตัวสั่น ก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อโดยไม่รู้ตัวแล้วฉีกยิ้มมองไปทางต้นเสียงแสร้งทำเป็นร่าเริงพลางบ่นออกไปว่า “ทำไมจู่ ๆ ก็ส่งเสียงขึ้นมาแบบนี้เล่า ตกใจหมดเลย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...