บทที่ 144 เจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมากเกินไป
ซูเย่อยากจะสู้แบบพันรุมหนึ่งอย่างนั้นหรือ?
ตอนที่เฉินเซียนอวี่ได้ยินข่าวนี้ เขาก็ต้องเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ!
เขาเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
ถ้าอย่างนั้น ตัวเขาเข้าร่วมเล่นสนุกด้วยดีกว่า!
เฉินเซียนอวี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูเย่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับไหนกันแน่ ถ้าไม่พิสูจน์ด้วยตัวเอง เฉินเซียนอวี่ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงเข้าสู่โหมดสังเวียนผู้กล้าและตรงดิ่งไปยังจุดที่ผู้คนกำลังรวมตัวกันหนาแน่น
…
ในโหมดสังเวียนผู้กล้าขณะนี้
ตอนที่จินฟานได้ข่าวว่าซูเย่สามารถจัดการคู่ต่อสู้กว่า 300 คน ได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว เขาแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่หูของตัวเองได้ยิน
“เชี่ย ทำไมแม่งโหดขนาดนี้วะ!”
ไม่นานต่อมา
ข่าวความยอดเยี่ยมของซูเย่ก็ดังไปทั่วดินแดนสังเวียนผู้กล้า ซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้รับทราบข่าวล้วนพากันงุนงงสับสนไม่เข้าใจ
หมอนี่ยังมีสติดีอยู่หรือเปล่า?
การที่สามารถเอาชนะเหมาเก๋อจู่เหรินกับบริวารหลายร้อยคนได้ ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว แต่นี่ซูเย่ถึงกับกล้าท้าสู่คู่ต่อสู้เป็นพันคนเชียวหรือ?
นี่มันเท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ
ซูเย่รู้ตัวไหมว่าตนเองกำลังจะต้องพบเจอกับอะไร?
เจ้าหมอนี่คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานมากนักใช่ไหม?
ได้เลย เดี๋ยวพวกเราจะได้เห็นดีกัน!
ไม่ว่าผลการต่อสู้จะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย พวกเขาก็อยากเข้าร่วมสนุกด้วย!
มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่คิดไปในทิศทางเดียวกัน
…
ในเวลาเดียวกันนี้
ระหว่างที่หลายคนกดเข้าสู่โหมดสังเวียนผู้กล้า เพื่อเข้าร่วมการประลองกับซูเย่
“ผู้กองครับ ซูเย่ท้าประลองกับผู้เล่นพันคน ให้ผมลองไปสู้กับหมอนั่นดูหน่อยไหมครับ?”
เสี่ยวจุนพลันวิ่งกลับมาถามในห้องทำงานอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“หมายความว่ายังไงพันคน?”
หวังเหาชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
“หมอนั่นตั้งกฎขึ้นมาเองครับว่า เมื่ออยู่ในโหมดสังเวียนผู้กล้าก็ห้ามไม่ให้มีการรังแกกันเด็ดขาด ใครก็ตามที่ละเมิดกฎข้อนี้จะต้องถูกเขาฆ่าตาย และเพื่อเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของตัวเอง ซูเย่จึงได้ออกปากท้าสู้กับผู้เล่นหนึ่งพันคน” เสี่ยวจุนรีบรายงานด้วยความกระตือรือร้น
“พูดจริงสิ?”
หวังเหาเบิกตาโตไม่อยากเชื่อ
ความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในความสนุกครั้งนี้พลันปรากฏขึ้นในจิตใจ
แต่ตอนนี้เขากำลังทำงานอยู่…หวังเหาลุกขึ้นยืน พยายามควบคุมสีหน้าตัวเองไม่ให้แสดงออกมากเกินไปขณะพูดว่า “คนเพียงคนเดียวจะไปสู้กับคนเป็นพันคนได้ยังไง?”
“ถ้าเป็นในโลกแห่งความจริงคงทำไม่ได้หรอกครับ เพราะระดับพลังลมปราณคงกินกันขาดแล้ว แต่ในโลกแห่งเกม เราลดระดับพลังลมปราณของทุกคนลง เพราะฉะนั้น การต่อสู้ครั้งนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ”
“แต่ก็ยังเกินตัวไปอยู่ดี”
หวังเหาถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า แอบเอื้อมมือเข้าไปหยิบหมวก VR ของตนเองออกมาจากใต้โต๊ะทำงานอย่างเงียบเชียบ
“หรือผู้กองหมายความว่า…หมอนั่นไม่มีทางสร้างปาฏิหาริย์ได้เหรอครับ?”
เสี่ยวจุนถาม
“ฉันหมายความว่า… นายช่วยมาเขียนรายงานแทนฉันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฉันเข้าไปตรวจดูในเกมเอง”
พูดจบ นายตำรวจหัวหน้าทีมสืบสวนพิเศษก็หิ้วหมวก VR และวิ่งปรู๊ดออกไปจากห้องทำงานหน้าตาเฉย
“อ้าวเฮ้ย!”
เสี่ยวจุนเพิ่งจะตั้งสติได้ ในห้องทำงานแห่งนี้ก็ไม่มีหวังเหาอีกต่อไปแล้ว
“ผู้กองครับ มาตัดหน้ากันแบบนี้ได้ยังไงเล่า!”
เสียงคำรามของนายตำรวจหนุ่มดังก้องกังวานไปทั่วห้องทำงานบนชั้นสอง
…
ตอนที่หวังเหาเข้าสู่โลกแห่งเกม ผู้คนมากมายก็มารวมตัวกันอยู่ที่สังเวียนแห่งนั้นแล้ว
ทุกคนที่เข้าสู่ระบบขณะนี้ ล้วนมาเพื่อเหตุผลเดียวกันทั้งสิ้น
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันก้าวเดินมายืนอยู่ข้างเวทีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
1 คน 2 คน 10 คน 20 คน…
100 คน…500 คน…800 คน…จำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในความเงียบ สายตาของผู้คนที่ยืนอยู่ข้างเวทีต่างก็จ้องมองไปที่ซูเย่เป็นจุดเดียว
จังหวะนั้น มีบุคคลผู้หนึ่งก้าวเดินขึ้นไปบนเวที
เขากดแสดงชื่อของตนเอง
‘คนเก็บดอกไม้’
เขาคือผู้เล่นที่มีคะแนนเป็นอันดับสองของโหมดสังเวียนผู้กล้า เพราะเปิดจุดลมปราณได้แล้ว 179 จุด
“หมอนี่ก็มาด้วยเหรอเนี่ย”
กลุ่มคนดูอุทานด้วยความประหลาดใจ
แต่วินาทีต่อมา ก็มีชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งก้าวเดินขึ้นเวทีไปเช่นกัน
‘เกาลัดฟ้าประทาน’
เขาเป็นผู้เล่นที่มีคะแนนเป็นอันดับสาม เปิดจุดลมปราณได้ทั้งสิ้น 79 จุด
“อันดับที่สามก็มาด้วยว่ะ!”
เหล่าคนดูอุทานออกมาอีกครั้ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก้าวเดินขึ้นไปบนเวที
ผู้เล่นอันดับสี่!
ผู้เล่นอันดับห้า!
ผู้เล่นอันดับหก!
ในที่สุด ทุกคนที่เดินขึ้นไปบนเวทีก็แสดงชื่อของตนเองออกมา
ฝูงชนที่อยู่รอบสังเวียนพากันตกตะลึง แทบพูดอะไรไม่ออก
“อื้อฮือ นี่มันงานรวมตัวยอดฝีมือชัด ๆ!”
“ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าผู้เล่นคะแนนสูง ๆ พวกนี้เลยสักคน แต่ตอนนี้ได้เห็นครบหมดทุกคนแล้ว!”
“ขนาดเหมาเก๋อจู่เหรินยังตายแหงแก๋ แล้วคนพวกนี้จะไปเหลืออะไร”
“แต่ถ้ายอดฝีมือร่วมแรงร่วมใจกัน ฉันว่าก็น่ากลัวอยู่นะ ขนาดฉันเป็นแค่คนดูยังตื่นเต้นไปหมดแล้วเนี่ย”
…
“ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาจริง ๆ!”
หวังเหายิ้มกว้างเมื่อมองกลุ่มผู้เล่นที่มารวมตัวกันอยู่เบื้องหน้า
ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายชนะ เขาก็มีความสุขทั้งนั้น
แต่คงจะดีที่สุดหากซูเย่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือถูกสั่งสอนอย่างหนักหน่วงเสียบ้าง หลังจากสร้างความรำคาญใจให้แก่เขามาหลายครั้งหลายครา
แต่ถ้าซูเย่เป็นฝ่ายชนะ หวังเหาก็คงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
จำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ใช่แค่ผู้คนบนสังเวียนต่อสู้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงกลุ่มคนดูที่อยู่รอบ ๆ สังเวียนอีกด้วย
ขณะนี้ ไม่มีใครสนใจการต่อสู้จุดอื่น ๆ อีกแล้ว เพราะทุกคนเอาแต่พูดคุยถึงการต่อสู้ของซูเย่ ดังนั้น พวกเขาจึงอยากมารับชมการต่อสู้แห่งประวัติศาสตร์ด้วยตาของตนเอง
ยิ่งมีจำนวนผู้เล่นเดินขึ้นไปบนเวทีมากเท่าไหร่ ขนาดความกว้างใหญ่ของเวทีก็ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
สุดท้าย เวทีประลองที่ซูเย่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล!
“ทุกคนไม่ต้องขึ้นมาเพิ่มแล้ว ระดับพลังอย่างพวกคุณ ถึงขึ้นมาก็เปล่าประโยชน์”
ชายหนุ่มเจ้าของนามแฝงคนเก็บดอกไม้พูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“ตอนนี้มีคนขึ้นมาอยู่บนเวที 1,200 คน ใครที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นผู้เล่นระดับล่างของตารางคะแนน ขอให้รีบถอนตัวออกไปเดี๋ยวนี้”
ไป๋จือหรานกับไป๋จือเหยียนก็มาถึงที่เวทีประลองแห่งนี้แล้วเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคนเก็บดอกไม้ พวกเธอก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
แต่สิ่งที่ทำให้สองสาวฝาแฝดตกใจมากที่สุดก็คือ ชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีนั้นกลับกลายเป็นซูเย่ไปได้อย่างไรไม่ทราบ
ในระหว่างที่สองสาวฝาแฝดกำลังประหลาดใจอยู่นี้ กลุ่มผู้เล่นที่มีลำดับคะแนนอยู่ท้ายตารางก็ชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ ทำไมคนเก็บดอกไม้ถึงต้องไล่พวกเขาลงจากเวทีด้วย แบบนี้มันยุติธรรมดีแล้วหรือ
พวกเขาหันหน้าปรึกษาหารือกันเล็กน้อย ก็ได้ข้อสรุปว่าไม่มีใครอยากลงไปจากเวที
ซูเย่จ้องมองคู่ต่อสู้กว่า 1,000 คน ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า กล่าวว่า “ในเมื่อมากันครบแล้ว ก็เข้ามาได้เลย!”
ช่างกวนบาทาได้ใจ!
กลุ่มคนดูพร้อมใจกันตบมือชื่นชมซูเย่
หลังจากรอคอยมาอย่างยาวนาน ในที่สุด การต่อสู้ก็จะเริ่มขึ้นสักที
ทุกสายตาจ้องมองไปยังเวทีต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น
“เสี่ยวเย่ สู้ ๆ นะเว้ย!”
จินฟานซึ่งยืนอยู่ในกลุ่มคนดูยกมือป้องปากตะโกนเชียร์เพื่อนรักบนเวที
“เตรียมตัวรับมือให้ดี!”
คนเก็บดอกไม้ผู้มีคะแนนเป็นอันดับที่ 2 ของโหมดสังเวียนผู้กล้าพุ่งเข้าไปหาซูเย่ด้วยความดุร้าย
ลักษณะการเคลื่อนไหวเห็นได้ชัดว่ามาจากการฝึกซ้อมวิชาหมัดพื้นฐานซึ่งถูกสอนมาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คนเก็บดอกไม้หมุนตัวตวัดขาเตะเข้าใส่ช่วงเอวของซูเย่
แต่นี่เป็นเพียงกระบวนท่าหลอก ตราบใดที่คู่ต่อสู้ยกขาขึ้นมาป้องกัน คนเก็บดอกไม้ก็จะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการออกหมัดใส่ศีรษะฝ่ายตรงข้ามทันที
ซูเย่โคจรพลังลมปราณรวมไว้ที่มือของตนเอง ก่อนจะคว้าจับข้อเท้าของอีกฝ่ายเอาไว้
“นายโดนหลอกแล้ว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]