บทที่ 54 ให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย
“พวกนายเป็นอะไรกันหมด?” ซูเย่เอ่ยถามอย่างฉงนใจ
“เรื่องบานปลายไปใหญ่แล้ว!”
ซูชือกล่าวอย่างอ่อนแรง “ความคิดเห็นของพวกชาวเน็ตในตอนนี้น่ากลัวเกินไป ฉันคิดว่านักเลงคีย์บอร์ดในประเทศเราก็เกินพอแล้ว ตอนนี้ยังมีพวกนักเลงคีย์บอร์ดประเทศอื่นสุมหัวมากันอีก”
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” ซูเย่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูทันที
เขาเปิดเวยป๋อ และพบว่าในสิบอันดับแรกของรายการคำค้นหายอดนิยม มีสี่หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับแพทย์แผนจีน
“ทางประเทศเราแค่โวยวายทางอินเทอร์เน็ต แต่ในต่างประเทศมีขบวนพาเหรดต่อต้านยาจีนแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะดูเหมือนไม่ค่อยมีคนเข้าร่วมขบวนพาเหรด แต่นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี!”
“คนพวกนี้ไม่มีงานมีการทำรึไง!”
จินฟานพูดอย่างขุ่นเคือง
เมื่อมองดูวิดีโอชาวต่างชาติเดินขบวนต่อต้านยาจีนบนเวยป๋อ คิ้วของซูเย่ขมวดทันที ครั้งนี้ร้ายแรงกว่าที่คิดเสียอีก!
ขบวนพาเหรดยังมีแล้ว! ไม่นำเข้าก็พอแรงแล้ว ตอนนี้ยังมีขบวนรณรงค์มาอีก
มุมปากของซูเย่กระตุกเล็กน้อย เขาต้องเร่งมือแล้ว!
……
หนึ่งวันต่อมา
“ติ๊ดติ๊ด…”
โทรศัพท์มือถือของซูเย่ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูพบว่าเป็นสวีหมินหมินที่โทรมา
“ฉันได้ส่งข้อมูลที่นายต้องการไปที่อีเมลของคุณแล้ว”
หลังจากที่สวีหมินหมินพูดจบ ก็วางสายทันที ซูเย่เปิดกล่องข้อความอิเล็กทรอนิกส์เพื่อตรวจสอบทันที
และเปิดอีเมลใหม่ล่าสุดที่เพิ่งถูกส่งเข้ามา เนื้อหาคือข้อมูลเกี่ยวกับข่งอวี้โจว
หลังจากอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้ว ซูเย่ก็ตัดสินว่าข่งอวี้โจวถูกใส่ร้าย!
เพราะหลักฐานทั้งหมดมันแปลก ๆ
คำตัดสินและเอกสารทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าในวันที่สองที่เขาจัดซื้อยาสมุนไพร บัตรของเขาก็มีเงินเข้าสองแสนหยวนโดยผู้ขาย และในวันที่สามเขาก็ถูกบริษัทของเขาฟ้อง
มันเร็วเกินไป และเกษตรกรผู้ขายก็ยืนยันว่าข่งอวี้โจวขอสินบน
นี่คือหลักฐานที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาคดีนี้
จากการตรวจสอบของสวีหมินหมิน พบว่าหนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว บัญชีธนาคารของเกษตรกรคนนั้นมีเงินเพิ่มอีกห้าแสนหยวน และแหล่งที่มาของเงินนี้คือผู้จัดการคนใหม่ของบริษัทที่ข่งอวี้โจวเคยทำงาน
ในเวลานั้น บริษัทที่ข่งอวี้โจวทำงานให้คือ จิงเฉิง เภสัชภัณฑ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบบริษัทเภสัชภัณฑ์ชั้นนำของประเทศ
หลังจากสำเร็จการศึกษาข่งอวี้โจวได้เข้าทำงานในบริษัททันที เนื่องจากผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาในทุก ๆ ด้าน เขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
เมื่ออายุ 31 ปี เขาได้เป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของบริษัท ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สามารถได้รับผลประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย
แต่ผู้อำนวยการของบริษัทยังไว้วางใจข่งอวี้โจวและให้เขาดำรงตำแหน่งนี้
คนหนุ่มมากความสามารถ ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีคนจ้องตาเป็นมัน แน่นอนว่าจะต้องกระตุ้นความไม่พอใจจากผู้อื่นที่หมายตาตำแหน่งนี้อยู่ และผู้ที่ไม่พอใจมากที่สุดคือกรรมการบริหารคนหนึ่งของบริษัท
ตามข้อมูลของสวีหมินหมิน หลังจากที่ข่งอวี้โจวถูกคุมขัง บุคคลที่เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการแผนกจัดซื้อนั้นเป็นญาติของกรรมการบริหารคนนั้น
หลังจากอ่านเนื้อหาเหล่านี้แล้ว ซูเย่ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมากขึ้น และเขาพบว่าวันนี้เป็นวันที่ข่งอวี้โจวได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ
……
เมืองจี้หยาง อำเภออวี้หลิน
อำเภอที่อยู่ห่างจากตัวเมืองมากกว่า 20 กิโลเมตร มีเรือนจำอยู่ห่างจากตัวเมืองห้ากิโลเมตร เรือนจำหมายเลข 8 ของเมืองจี้หยาง
ในเวลาเที่ยงวัน
ประตูของเรือนจำซึ่งปกติจะถูกปิดอย่างแน่นหนาถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ผู้ชายคนหนึ่งที่ตัดผมรองทรง ร่างกายดูแข็งแรงกำยำ นัยน์ตาสีเข้มและรูปหน้าหล่อเหลาเดินออกมา
เขาคือข่งอวี้โจว
“อย่าหันกลับมา!”
ผู้คุมตะโกนใส่แผ่นหลังของเขา “เดินออกไปต่อไป! ออกไปจากที่นี่ ออกไปเป็นคนดี!”
ข่งอวี้โจวหยุดฝีเท้า
หลังจากได้ยินเสียงประตูเรือนจำปิดลงแล้ว เขาหันศีรษะไปมองดูประตูสถานที่แห่งนั้นอย่างละเอียด
แต่เขากลับเห็นผู้คุมในเรือนจำส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ เพราะรู้สึกว่าการมองย้อนกลับมาของเขาช่างโชคร้ายเหลือเกิน
“โชคร้ายงั้นเหรอ?”
ข่งอวี้โจวหัวเราะเบา ๆ แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในที่สุดฉันก็ออกมาแล้ว!
คนที่ทำร้ายฉัน พวกแกรอได้เลย!
เขาเดินต่อไปไม่กี่ร้อยเมตร
“โอ๊ะ นี่ไม่ใช่ข่งอวี้โจวที่มีชื่อเสียงงั้นเหรอ”
ทันใดนั้น รถตู้สองคันเข้ามาจอดขวางหน้าเขา และมีกลุ่มคนลงจากรถมาล้อมเขาที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ
หนึ่งในนั้นเข้ามาโอบไหล่ข่งอวี้โจวไว้ทันที
“พวกคุณคือ?”
ข่งอวี้โจวขมวดคิ้วพลางมองไปที่คนกลุ่มนี้อย่างพิจารณา ต่อมาดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง เขาพอจะเดาได้แล้วว่าคนกลุ่มนี้มาที่นี่เพื่ออะไร
“ไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร แต่คุณคือใครต่างหากที่สำคัญ”
คนที่กอดคอของข่งอวี้โจวยิ้มพลางพูดต่อ
“สามปีนี้ยากลำบากมากเลยใช่ไหม สามปีนี้ลำบากนานแล้ว ต่อไปนายจะทำยังไง จะไม่มีใครมารบกวนนายอีก แต่นายต้องรู้แก่ใจไว้อย่างหนึ่ง คือสามปีที่ผ่านมาในคุกถือว่าแล้วกันไป แต่หากเรื่องนี้ไปขึ้นศาลในอนาคต มันจะไม่เป็นผลดีต่อภรรยาและลูกของนายมากนัก”
แววตาของข่งอวี้โจวเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“เข้าใจแล้วรึยัง?” คนที่ยืนกอดคอข่งอวี้โจว เอ่ยถามพลางแสยะยิ้ม
“ไม่ฟ้องแล้ว ไม่ฟ้องแล้ว” ข่งอวี้โจวหัวเราะอย่างกะทันหัน พลางสั่นศีรษะและโบกมือด้วยความกลัว
“ดีแล้ว ฉันแค่เกรงว่านายจะจำไม่ได้!”
ชายวัยกลางคนตบไหล่ของข่งอวี้โจวอย่างแรง “ไปกันเถอะ”
ขณะพูด กลุ่มคนก็ล้อมรอบข่งอวี้โจวและผลักเขาให้เดินไปที่รถตู้
“จำได้สิ จำได้แน่นอน ฉันมีความจำที่ดี”
หมอกควันในดวงตาของข่งอวี้โจวเข้มขึ้น แต่เขายังคงรอยยิ้มไว้ พยายามยื้อไว้สุดแรง
“บอกให้ไปก็ไปสิวะ”
คนที่กอดไหล่ข่งอวี้โจว เอื้อมมือไปตบศีรษะเขาอย่างแรง และผลักไปที่ด้านข้างของรถตู้
คนที่เป็นลูกพี่ เปิดประตูรถออกแล้วหยิบไม้เบสบอลออกมา เขายกไม้เบสบอลขึ้นโดยเล็งเป้าหมายไปที่ข่งอวี้โจว
ข่งอวี้โจวยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันศีรษะ แต่นัยน์ตากลับมืดมนอย่างน่ากลัว!
ครั้งนี้ฉันจะจดจำเอาไว้!
“บรื้นน——”
ในตอนนี้เอง มีเสียงเร่งเครื่องจากรถมอเตอร์ไซค์ดังเข้ามา รถมอเตอร์ไซค์พุ่งตรงเข้ามาในกลุ่มคนพร้อมกับเสียงท่อดังไปทั่วบริเวณ
คนที่กระจุกตัวกันอยู่พลันกระจายตัวไป ข่งอวี้โจวมองไปที่รถจักรยานยนต์ที่บิดเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางสับสน
ทว่าในตอนที่รถคันนั้นบิดซิ่งเข้ามาที่ด้านข้างของเขา รถจักรยานยนต์คันนี้ก็ดริฟต์สะบัดหางได้อย่างสวยงาม และมาหยุดที่ด้านหน้าของข่งอวี้โจวด้วยความแม่นยำที่ไม่มีใครเทียบได้
“ข่งอวี้โจว?”
นักซิ่งจักรยานยนต์ถอดหมวกกันน็อคและถุงมือออก พลางเอื้อมมือมาทางเขา พลางเอ่ยทักทาย “สวัสดีครับ ผมชื่อซูเย่”
“สะ สวัสดี”
ข่งอวี้โจวยื่นมือออกไปจับมือกับซูเย่อย่างงุนงง
เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]