เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า นิยาย บท 1806

สรุปบท บทที่ 1806 จิตใจล่องลอย: เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า

อ่านสรุป บทที่ 1806 จิตใจล่องลอย จาก เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า โดย โอหยางวิ่น

บทที่ บทที่ 1806 จิตใจล่องลอย คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายใช้ชีวิต เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย โอหยางวิ่น อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว และนกบินผ่านที่บริเวณขอบฟ้า

สายลมที่พัดโชยมาจากระยะไกล ได้แฝงกลิ่นอายความหอมของดอกไม้และใบหญ้าที่อยู่ในป่ามาด้วย

สะบัดแขนเสื้อขึ้น เส้นผมที่ตรงหน้าผากก็ขยับเล็กน้อย

ใบไม้แกว่งไสวไปมา ดวงอาทิตย์ก็สาดแสงส่องสว่างไปเรื่อย ๆ

ลู่ฝานนั่งอยู่ด้านหน้าของกระท่อมไม้ไผ่ และเงยขึ้นมองท้องฟ้า

ขณะที่นิ้วมือขยับเขยื้อนเล็กน้อยนั้น ก็พลันมีลำแสงแปลกประหลาดปล่อยออกมาจากนิ้วมือของเขา ทันใดนั้นก็แผ่กระจายเป็นวงกว้าง โดยสีของลำแสงยากที่จะบรรยาย เหมือนจะโปร่งใส แต่ก็ไม่ใช่

หลังจากที่ปล่อยคลื่นพลังนี้ออกไปแล้ว ลู่ฝานก็ค่อย ๆ หลับตาทั้งสองข้างลง

ภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้นในหัวสมองจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็คือทิวทัศน์บริเวณโดยรอบนี้ทั้งหมด

เขามองเห็นแมลงที่อยู่ในดิน และก็มองเห็นสายน้ำไหลท่ามกลางป่าเขา รวมถึงนกน้อยที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า

ทิวทัศน์ยิ่งจะแผ่ขยายกว้างขวางไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างไร้จุดสิ้นสุด

“จิตใจล่องลอยไปโดยที่ร่างกายยังคงอยู่กับที่ ซึ่งสามารถมองเห็นสรรพสิ่งมากมายในโลกได้”

ลู่ฝานขยับริมฝีปาก และพูดขึ้นเบา ๆ

เพียงแต่เสียงนี้ไม่ได้ดังออกมาจากปากของเขา แต่ดังขึ้นมาจากท่ามกลางท้องฟ้า

ที่นั่นปรากฏลำแสงที่รวมตัวกันขึ้นเป็นร่างของลู่ฝาน แต่ชัดเจนว่า นั่นไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของเขา แต่เป็นจิตวิญญาณของเขา

ถูกต้อง นี่ก็คือผลลัพธ์ความสำเร็จในช่วงสามเดือนมานี้ ที่ลู่ฝานได้ทำการฝึกฝนวิถีวิญญาณ

จิตวิญญาณแยกออกจากร่างกาย เพื่อมองดูสรรพสิ่งต่าง ๆ

ความรู้สึกนี้ ไม่ว่าเต๋าอื่นใด ก็หาที่เปรียบมิได้เลย

ลู่ฝานขยับเคลื่อนไหวจิตใจ จิตวิญญาญก็กลับคืนเข้ามาสู่ร่างกาย

เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายของเขาเองแล้ว ความเร็วของจิตวิญญาณช่างรวดเร็วกว่าเป็นอย่างมากทีเดียว ใช้ได้แต่เพียงคำว่าพริบตาเดียวมาอธิบายได้เท่านั้น ลู่ฝานรู้สึกว่า ความเร็วนี้ ยังจะรวดเร็วกว่าการทะลุข้ามมิติเสียอีกด้วย

ถ้าในวันหนึ่ง เขาสามารถฝึกฝนให้ร่างกายของเขานั้น มีความเร็วเหมือนกับจิตวิญญาณที่แยกออกไปจากร่างกายนี้ได้แล้ว คาดว่าเขาคงจะไม่ต้องนั่งเรืออากาศธาตุเดินทางไปไหนมาไหนอีกแล้ว

จิตวิญญาณมาหยุดลงที่เบื้องหน้าตัวเขา ลู่ฝานมองไปที่โครงร่างของตนเอง

เขามองไปยังร่างกายของตนเองอย่างเงียบสงบ ด้วยความอัศจรรย์อย่างที่สุด

“ที่จริงแล้ว นี่ก็คือตัวฉันเอง”

ลู่ฝานพูดพึมพำขึ้น

น้ำเสียงไม่มีตัวตน ราวกับว่าดังขึ้นมาจากท้องฟ้า

ทันใดนั้น จิตวิญญาณก็กลับคืนสู่ร่าง

ลู่ฝานลืมตาสองข้างขึ้น

เฮ้อ!!!

ลู่ฝานถอนหายใจอย่างช้า ๆ โดยรู้สึกว่าร่างกายของตนเองจะมีอาการแข็งทื่อเล็กน้อย

แม้การที่จิตวิญญาณแยกออกจากร่างจะน่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถแยกออกไปในระยะเวลาที่นานเกิน เพราะเหมือนว่าหลังจากที่จิตวิญญาณแยกออกจากร่างแล้ว ร่างกายเนื้อหนังก็จะอยู่ในสภาพที่ใกล้จะตาย

หากว่าเกินกว่าสิบลมหายใจแล้วยังไม่กลับเข้าร่าง ร่างกายก็จะเข้าสู่สภาพความตายอย่างแท้จริง

หากจะพิจารณาจากมุมมองของเต๋าแห่งชีวิต นั่นก็คือว่าในช่วงเวลาที่ลู่ฝานได้แยกจิตวิญญาณออกจากร่างไปนั้น ก็ได้นำพาสภาพชีวิตความดำรงอยู่ทั้งหมดไปด้วย

ร่างกายที่ไม่มีชีวิต ก็เป็นเพียงแค่โครงร่าง เป็นร่างศพก็เท่านั้น

ลู่ฝานขยับเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น

จิตวิญญาณกลับเข้าสู่ภายในตันเถียนอีกครั้ง เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเมื่อจิตวิญญาณของตนเองแยกออกจากร่างไปแล้วกลับคืนสู่ร่างอีกครั้งนั้น เหมือนกับว่าตนเองจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

นี่ก็คือวิธีการฝึกฝนที่ได้กล่าวถึงในตำรา ซึ่งเดิมทีลู่ฝานก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

แต่ในตอนนี้ เขาเชื่อโดยสมบูรณ์แล้ว

ซึ่งในตำราไม่ได้เอ่ยถึง ตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่

แตลู่ฝานได้คาดเดาว่า อาจจะเป็นเพราะ เมื่อจิตวิญญาณแยกออกจากร่าง ก็จะปนเปื้อนวิถีแห่งฟ้าดิน เลยทำให้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น!

แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขา จะจริงหรือไม่จริงนั้น ก็ยังคงต้องรอให้เขาศึกษาค้นคว้าต่อไป

ความอัศจรรย์ของวิถีเต๋า มันช่างเหนือกว่าที่เขาจินตนาการ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้ก็ถือว่าเขาได้เข้าสู่ขั้นต้นแล้ว

สำหรับวิธีการยกระดับของจิตวิญญาณที่ในตำราได้กล่าวถึงนั้น ลู่ฝานยังไม่คิดที่จะใช้ เพราะนี่คือวิธีฝึกฝนชั่วร้ายดั้งเดิมทั้งหมด

อาทิเช่นกลืนกินจิตญาณ ด้วยการบังคับดึงจิตวิญญาณของคนอื่นออกมา แล้วกลืนกินเข้าไปในร่างกายของตนเอง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณ

หรือว่าจะเป็น การรวบรวมสะสมวิญญาณแค้น อาศัยออร่าปีศาจหลอมขึ้นเป็นสระเลือด การสังหารผู้คนจำนวนมาก เพื่อนำโครงกระดูกมาเติมเต็มสระ การรวบรวมเลือดลมและกลิ่นศพมาจัดวางเป็นค่ายกล แล้วหลอมจนเป็นพลังที่จิตวิญญาณต้องการ จากนั้นก็กลืนกินลงไป

ทั้งหมดล้วนเป็นวิธีการที่ทำร้ายผู้อื่นแต่เป็นประโยชน์กับตนเอง และได้รับผลลัพธ์มาอย่างรวดเร็ว

วิธีการเหล่านี้ สำหรับผู้ฝึกชั่วร้ายแล้ว ก็คือวิธีการฝึกฝนที่ธรรมดาทั่วไป มิเช่นนั้นพวกเขาทุกคนจะต้องการพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงมนุษย์เพื่ออะไรล่ะ

แต่ลู่ฝานมองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะกระทำ

นี่ไม่ใช่เพราะว่าดูหมิ่นและเหยียดหยามวิธีการเหล่านี้ ตรงกันข้าม หลังจากที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิธีการเพิ่มพลังชั่วร้ายเหล่านี้แล้ว ลู่ฝานกลับรู้สึกตกตะลึงต่อวิธีการที่บ้าคลั่ง รวมถึงความคิดที่แปลกประหลาดเหล่านี้ของผู้ฝึกชั่วร้ายอย่างมากเลยทีเดียว

แน่นอนว่านี่คือวิธีการเพิ่มพลังที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องพูดว่าทำแบบนี้เป็นการฆ่าคนมากเกินไป จะต้องได้รับผลกรรมตามสนอง ทั้งนี้ผู้ฝึกชี่อย่างแท้จริงนั้นการที่จะกลั่นยาอายุยืนหนึ่งเม็ด ก็จะต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตไม่น้อยไปกว่าชีวิตในหลุมหมื่นศพของผู้ฝึกชั่วร้ายเลย

เพียงแต่ แม้ว่าวิธีการแบบนี้จะทำให้เพิ่มพลังขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เสถียรมั่นคง

ขณะที่กำลังฝึกฝนอยู่อย่างสบายใจ ทันใดนั้น ก็มีหนึ่งเงาร่างของคนปรากฏขึ้นในระยะที่ไม่ไกล

ลู่ฝานเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ผู้อาวุโสซู่มั่น ฉันนึกว่าคุณลืมฉันไปแล้วเสียอีก”

ผู้อาวุโสซู่มั่นเดินเข้ามาหา แล้วก็มองสังเกตลู่ฝานเล็กน้อย ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “พูดเอาไว้แล้วว่าสามเดือน จะลืมนายไปได้อย่างไรล่ะ เหมือนว่านาย จะเรียนรู้ได้รับประโยชน์อย่างมากเลยนะ? ”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “แน่นอน ภายในกระท่อมไม้ไผ่ของท่านมีหนังสือตำราอย่างครบถ้วน ดีมากเลย ฉันได้เรียนรู้และได้รับผลประโยชน์อย่างมาก! ”

ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดว่า: “ฉันนึกว่านายจะดื้อดึงไม่ยอมฝึกฝนวิชาชั่วร้ายเหล่านี้เสียอีก ดูเหมือนว่านายกับอาจารย์ของนายไม่เหมือนกันเลยจริง ๆ เขาหัวแข็งมีความคิดโบราณ ส่วนนายเป็นกันเองและยอมปรับตัวเข้ากับสถานการณ์”

ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “นี่อาจจะเป็นจุดที่ฉันเทียบไม่ได้กับอาจารย์ของฉัน”

ผู้อาวุโสซู่มั่นหัวเราะ ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า: “ไปกันเถอะ ตามฉันมา นายฝึกฝนสำเร็จแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะพานายไปพบคนคนหนึ่งแล้ว”

ขณะที่พูดนั้น ผู้อาวุโสซู่มั่นก็เดินเข้ามา แล้วจับไปที่ไหล่ของลู่ฝาน

ทันใดนั้น ลู่ฝานก็รู้สึกว่ามีมิตินับไม่ถ้วนได้ผ่านร่างกายของเขาไป

เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาถึงสถานที่ที่เขาไม่เคยจะรู้จักเลย

ขณะที่เพิ่งยืนลงอย่างมั่นคง ลู่ฝานก็เห็นว่าที่ข้างกายยังมีวัยรุ่นอีกสี่คน ที่เหมือนกับเขา น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น โดยเป็นชายสามคนเป็นหญิงหนึ่งคน ใบหน้าท่าทางยิ้มแย้ม

ด้านหลังของพวกเขาแต่ละคนนั้น ต่างก็มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่

ลู่ฝานมองดูแล้วเหมือนว่าจะคุ้นตาอยู่บ้าง เหมือนจะเป็นจำนวนหนึ่งในผู้อาวุโสที่ฝึกชั่วร้ายสิบคนที่เคยพบเห็นในครั้งก่อน

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าก็พลันกลายเป็นสีดำ และยังจะมีฟ้าผ่าสีแดงราวกับมังกรเคลื่อนไหวปรากฏขึ้นอย่างเลือนลางด้วย

เบื้องหน้า คือพระราชวังขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

พระราชวังอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก เสาหินค้ำสีเขียวเทา เอนเอียงคดเคี้ยว และเศษหินกระจายเกลื่อนไปทั่ว

ลู่ฝานจ้องมองไปยังพระราชวังแห่งนั้น เหมือนว่าจะมองเห็นค่ายกลสีแดงลาง ๆ

ผู้อาวุโสซู่มั่นหันมองไปที่ชายชราคนอื่น กี่คนนั้นก็พยักหน้า จากนั้นก็ถอยหลังลงไป

ขณะที่ถอยหลังนั้น คุณยายตาเดียวคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า: “วันนี้ พวกนายห้ามใช้วิชาชั่วร้ายใด ๆ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องตาย! ”

ชายชราคนหนึ่งพูดรับช่วงต่อว่า: “ห้ามใช้พลังสามวิถีอันได้แก่ เลือด ศพ และพิษ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องตาย! ”

ชายครึ่งหน้าคนหนึ่งหัวเราะและพูดว่า: “ห้ามใช้ยา สมุนไพรหรืออาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องตาย! ”

ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดเสียงดังขึ้นว่า: “ภารกิจหน้าที่สำคัญของพวกเธอนั้น ก็คือต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”

สุดท้าย ชายร่างกำยำที่มีหนวดเคราม้วนงอคนหนึ่งได้กางแขนขึ้นและพูดว่า: “พยายามดิ้นรนกันเถอะ พวกเด็กน้อยทั้งหลาย สิ้นหวังใช่ไหมล่ะ พวกเด็กน้อยทั้งหลาย! ”

เงาร่างของผู้อาวุโสทั้งสี่คนหายวับไปในความมืด ลู่ฝานจึงค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า