เสียงตวาดของพี่ลีวายทำให้ฉันสะดุ้งโหย่งแล้วยอมปล่อยให้เขาฉุดกระชากแขนมาจนถึงที่รถอย่างไม่ขัดขืน
“เอานามบัตรของมันมาให้ฉัน” พี่ลีวายตวาดบอกดังลั่น แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นจ้องมองฉันอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมต้องให้ด้วยคะ” ถึงจะกลัวแต่ฉันก็ยังอยากรู้เหตุผลที่ทำให้หงุดหงิดขนาดนี้
“เอามานี่!!”
“ไม่ให้ค่ะ”
“มิลิน!!” เมื่อไม่ได้ดั่งใจพี่ลีวายก็โกรธจนหน้าแดง เขาขบกรามแน่นแล้วจ้องฉันเขม็งหวังให้กลัว
อีกนิด… ฉันอยากขัดใจเขาดูอีกนิด เพราะอยากรู้ว่าอะไร ที่ทำให้พี่ลีวายหัวเสียมากขนาดนี้
พี่ลีวายพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ เหมือนพยายามใจเย็นกับฉัน ก่อนจะบอกเสียงเรียบแต่แฝงความอำมหิต
“อย่าให้ฉันอารมณ์เสียไปมากกว่านี้”
“เหตุผลคืออะไรเหรอคะ” ฉันพยายามถามเพื่อให้ได้คำตอบ
ที่ตัวเองอยากรู้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมตอบความจริง
“ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน”
“แค่นี้เองเหรอคะ” ฉันมองพี่ลีวายเพื่อจับผิดแต่เขารู้ตัว ก่อนจะยิงคำถามกลับ “ทำไม? คิดว่าที่ฉันทำไปเพราะหึงหวงเธอหรือไง”
“…” ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็เงียบไปทันที
มันใช่อย่างที่พี่ลีวายถาม เขาทำแบบนี้จะไม่ให้คิดได้ยังไง ถึงมันจะดูเข้าข้างตัวเองไปหน่อยแต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไร
“จำเอาไว้ว่าฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้น” พี่ลีวายย้ำเสียงหนักแน่น เขาแสดงสีหน้าออกมาให้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ให้มิลินเก็บนามบัตรเขาไว้ดีกว่า” หากบอกว่าไม่เคยรู้สึกหึงหวงฉันเพราะฉะนั้นถ้าจะเก็บนามบัตรของผู้ชายคนนั้นเอาไว้มันก็ไม่ผิดใช่ไหม
“เพื่อ?” คำตอบของฉันยิ่งทำให้คนตรงหน้าหัวเสียมากกว่าเดิม
“วันหนึ่ง…” ฉันมองหน้าพี่ลีวายอย่างไม่หลบสายตา ก่อนจะพูดต่อ “มิลินอาจจะได้ใช้มัน”
“หมายความว่ายังไง” ดวงตาแข็งกร้าวจ้องฉันเขม็งราวกับ
ไม่พอใจเอามาก ๆ และถึงจะหวั่นใจอยู่บ้าง ถึงอย่างนั้นฉันก็กำนามบัตรในมือแน่น
“อย่าสนใจเลยค่ะ”
หมับ!! มือหนาคว้ามาบีบต้นแขนของฉันอย่างแรงเพื่อจะเค้นให้ฉันตอบให้ได้
“เธอคงไม่คิดจะไปอยู่กับมันจริง ๆ?”
“ลองเดาดูสิคะ ว่ามิลินคิดแบบนั้นหรือเปล่า”
“ไอ้เรย์มันไม่ต่างอะไรกับฉัน เผลอ ๆ มันเลวกว่าฉันซะอีก”
“ถ้ามิลินรับมือกับพี่ลีวายได้ก็คงรับมือกับคนอื่นได้สบาย”
“หึ!! เธอคิดแบบนั้น?”
“กลับกันเถอะค่ะ”
ถึงแม้จะทำเหมือนไม่สนใจแต่ความจริงก็คิดอยู่เหมือนกัน ที่
พี่ลีวายพูดมามันคงจะจริง ผู้ชายที่ชื่อเรย์คนนั้นท่าทางของเขาดูร้ายกาจไม่เบา
ฉันนั่งเกร็งตลอดทางกลับมาที่บ้าน เพราะพี่ลีวายขับรถเร็ว
มาก ๆ ราวกับอยู่ในสนามแข่ง ถ้าไม่ติดไฟแดงแทบไม่ปล่อยเท้า
จากคันเร่งเลย
มาถึงบ้านฉันกับพี่ลีวายก็ต่างแยกย้าย แต่กลับรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะคิดว่าเขาต้องโกรธแน่ ๆ ถึงจะทำเป็นเก่ง แต่ข้างใน
มันหวั่นไหวอยู่
เฮ้อ!! ฉันไม่จำเป็นต้องไปสนใจคนที่ไม่เคยสนใจตัวเองเลย
ด้วยซ้ำ แข็งใจไว้สิมิลินเธอทำได้
#ตกเย็น สายของคุณท่านโทรเข้ามาฉันจึงรีบกดรับ
“ฮัลโหลค่ะคุณท่าน”
(เป็นยังไงบ้าง ตาลีวายบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลวันนี้)
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
(ไปทำอิท่าไหน ถึงได้บาดเจ็บจนถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลแบบนั้น คงไม่ใช่เพราะลูกชายของฉันใช่ไหม)
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นเพราะหนูซุ่มซ่ามเอง” บางทีคุณท่านก็อาจจะรู้
“แต่มิลินต้องไปอ่านหนังสือตอนนี้ใกล้จะสอบปิดเทอมแล้ว”
“แล้วยังไง?”
“จะหาเรื่องกันให้ได้เลยใช่ไหมคะ”
“หาเรื่อง? เธอมีหน้าที่ต้องทำอะไรในบ้านหลังนี้ลืมไปแล้วหรือไงว่าเป็นแค่กาฝาก”
“…” คำพูดที่พี่ลีวายเพิ่งพ่นออกมาทำเอาฉันจุกจนพูดอะไร
ไม่ออก และมันก็ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าระหว่างเรามันมีกำแพงมากั้นกลางอยู่และกำแพงนั้นสูงมาก ๆ จนฉันไม่สามารถข้ามมันไปได้ ต่อให้ทำยังไง
ก็เป็นได้แค่นี้ การเอาตัวเองออกมามันคือทางออกที่ดีที่สุด
“จะให้ทำอะไรก็สั่งมาเลยค่ะ ไม่ต้องใช้คำพูดแบบนั้นก็ได้”
“มานั่งตรงนี้” พี่ลีวายชี้นิ้วลงตรงกลางระหว่างขาของตัวเอง
“คะ?” ทำเอาฉันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อถูกสั่งให้ไปนั่ง
ตรงนั้น
“ฉันอยากผ่อนคลาย ช่วยทำให้หน่อยสิ”
“…” ถึงกับต้องกัดริมฝีปากตัวเองแน่นพร้อมหัวใจที่เต้นรัว ทำไมในหัวของพี่ลีวายถึงได้เอาแต่คิดเรื่องลามกแบบนี้กันนะ ทั้งที่วันนี้ เขาก็ได้สมใจตัวเองไปแล้วแท้ ๆ
“ไม่ได้ยินที่สั่งหรือไง!!” พอไม่ทำตามพี่ลีวายก็ตวาดเสียงดังพร้อมจ้องหน้าฉันเขม็ง
“มิลินไม่อยากทำ”
“เลือกมาสิว่าจะยอมใช้ปากทำให้ฉันดี ๆ หรือให้ทำกับเธอแทน”
“ลามกที่สุด!!” ใบหน้าของฉันมันเห่อร้อนเมื่อถูกสายตาคม
ของพี่ลีวายเอาแต่จ้องมองอย่างเจ้าเล่ห์
จู่ ๆ พี่ลีวายก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาประชิดตัวฉัน อยากจะก้าวขาหนีแต่ก็ไม่ทันเพราะอีกฝ่ายนั้นเร็วกว่า
“ถ้าฉันต้องการ เธอจะห้ามอะไรได้”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เด็กดื้อคนโปรด (ของมาเฟีย) BAD