สีหน้าหลิ่วอวี่เจ๋อฉายแววเหยียดหยาม “หล่อกะผีสิ แก่หงำเหงือกขนาดนี้แล้ว ต่อให้ตอนหนุ่มๆ ก็คงเรียกหล่อไม่ได้หรอก!”
เดิมทีหน้าตาสวี่ฉู่หมิงก็ธรรมดาๆ ไม่เรียกอัปลักษณ์ก็นับว่าไว้หน้าเขาแล้ว
ตัวสวี่ฉู่หมิงเองก็คงจะอธิบายไม่ได้ว่าทำไมหวังเจียเหยาถึงได้ชมว่าเขาหล่อเหลา
หวังเจียเหยาเหน็บหลิ่วอวี่เจ๋อ “นายจะไปเข้าใจอะไร ผู้ชายจะหล่อหรือเปล่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตาเท่านั้นเข้าใจไหมเนี่ย? นายลองดูบุคลิกของคุณอาสวี่สิ ท่าทางเด็ดขาดบนโต๊ะอาหารมีเสน่ห์จะตายไป!”
ตอนที่หวังเจียเหยาปรายตามองไปครั้งแรก ก็ไม่ได้รู้สึกว่าสวี่ฉู่หมิงจะมีเสน่ห์ของสุภาพบุรุษอะไร
แต่เมื่อรู้จากปากว่าหลิ่วอวี่เจ๋อว่าชายชราคนนี้คือสวี่ฉู่หมิงแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าอีกฝ่ายมีข้อดีมากมาย
นี่ก็คือนิสัยเสียของผู้หญิงในประเทศแห่งนี้ พวกหล่อนมักรู้สึกว่าผู้ชายที่มีเงินพวกนั้นมีเสน่ห์ ต่อให้หน้าตาเฉยๆ หรืออาจจะค่อนไปทางขี้เหร่ด้วยซ้ำไป
เรือสำราญเป็นเรือที่ค่อยๆ ขับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า แต่ตำแหน่งที่หวังเจียเหยาอยู่นั้นไม่สามารถมองเห็นพวกเย่เฉินได้อีกต่อไป
หวังเจียเหยาวางกล้องส่องทางไกลลงแล้วพึมพำ “เย่เฉินที่น่าสงสาร วันนี้คงถูกสวี่ฉู่หมิงเหยียดหยามจนแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว เขาจะเลิกกับฉินหงเหยียนไหมนะ? ถ้าหากว่าเขาเลิกกับฉินหงเหยียนล่ะก็ ฉันจะไม่ให้เขาออกจากเทียนไห่ หลิ่วอวี่เจ๋อออกข้างนอกทุกเช้า กว่าจะกลับก็ดึกดื่น ถ้าเบื่อๆ จะได้ไปหาเย่เฉินก็ดีเหมือนกัน”
หวังเจียเหยาเริ่มมีความคิดที่จะเอาเย่เฉินเป็นตัวสำรอง
บนเรือสำราญ
พวกเขาสามคนพูดคุยและหัวเราะกันเพื่อจะทำลายความเก้อเขินที่เกิดขึ้นขณะพบหน้ากันครั้งแรก
สวี่ฉู่หมิงหั่นเสต็กเนื้อไป พลางแสร้งถามอย่างไม่ใส่ใจ “เย่เฉิน นายอายุน้อยแบบนี้ ถ้าไม่รู้ยังคิดว่าเป็นแค่นักศึกษาอยู่เลย จริงสิ นายเรียนในประเทศหรือนอกประเทศล่ะ?”
เย่เฉินตอบกลับ “เมืองนอก”
“มหาวิทยาลัยไหนเหรอ?”
“สแตมฟอร์ด”
ที่จริงแล้วมหาวิทยาลัยที่เขาเคยเรียนนั้นมีมากมาย เรียนธุรกิจที่สแตมฟอร์ด เรียนดนตรีที่บรูคลิน เรียนออกแบบที่ ESMOD
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นมหาวิทยาลัยแนวหน้าที่สุดของโลก และมีศาสตราจารย์ที่เก่งที่สุดในโลกด้วย
ทว่าคู่สนทนาระหว่างรับประทานอาหารวันนี้นั้นทำธุรกิจ เขาจึงเลือกตอบว่ามหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด
สวี่ฉู่หมิงตกใจ “อ้าว เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกับลูกสาวฉันเหรอเนี่ย แต่ในเมื่อนานยจบม.ดัง ทำไมถึงเลือกมาส่งพัสดุที่เทียนไห่ได้ล่ะ? ถึงแม้จะในเทียนไห่จะมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังต่างๆ หางานก็ไม่ง่าย แต่สแตมฟอร์ดเนี่ยถือว่ามีจุดแข็งมากอยู่นะ”
เย่เฉินเลือกที่จะตอบตามความจริง “ผมแค่เคยเรียน แต่ไม่ได้มีใบปริญญา”
วิธีการเรียนของเย่เฉินนั้นต่างไปจากนักศึกษาคนอื่น เขาไม่มีเวลาให้ใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง
เขาถึงขั้นไม่ต้องทำการลงทะเบียน แต่เข้าเรียนเลย พอเรียนเสร็จแล้วก็เปลี่ยนมหาวิทยาลัยไป
สำหรับคนตระกูลเย่แล้ว ใบปริญญาจากแสตมฟอร์ดเป็นแค่เศษกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีเกียรติยศอะไรในสายตาพวกเขา
“ไม่มีปริญญาเหรอ?”
ใบหน้าสวี่ฉู่หมิงผุดยิ้มน้อยๆ “งั้นนายควรจะไปเรียนต่อนะ! ยุคแบบนี้ไม่มีใบปริญญายากจะมีอนาคตที่ดี นายก็ยังอายุน้อยอยู่ ไปเรียนปริญญาโทแล้วต่อปริญญาเอก อนาคตจะได้มีชีวิตที่มั่นคง ถ้าเป็นแบบนี้ ฉินหงเหยียนคบหากับนาย หล่อนจะได้สบายใจ”
ฉินหงเหยียนอายุ 30 แล้ว จะให้เย่เฉินไปเรียนต่อที่อเมริกาตอนนี้เนี่ยนะ?
เรียนกว่าจะจบกลับมา ฉินหงเหยียนอายุก็คงจะเกือบ 40 แล้ว!
หญิงสาวจะรอไหวเหรอ?
ผู้หญิงปกติย่อมอาศัยช่วงเวลาที่ยังอายุน้อยไปแต่งงานกับคนอื่นนานแล้ว!
สวี่ฉู่หมิงคนนี้ ดูจากภายนอกเหมือนว่าเขาคิดแทนคนอื่น แต่ที่จริงแล้วกำลังแอบวางกับดักคนอื่น
เย่เฉินกล่าวพลางยิ้ม “ตอนนี้ชีวิตพวกเรามั่นคงดี”
สวี่ฉู่หมิงเองก็ยิ้ม “ตอนนี้มั่นคงดีงั้นเหรอ? นายหาเงินได้แค่เดือนละไม่กี่พันหยวน กระทั่งจะซื้อลิปสติกให้ฉินหงเหยียนยังไม่ได้เลยมั้ง?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)