สำหรับตระกูลใหญ่ๆ แล้วการตรวจ DNA เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ!
อย่างไรเสียทรัพย์สินจำนวนหลายแสนหลายล้านล้านไม่ใช่ของเล่นๆ จะให้ลูกของคนอื่นไม่ได้
ส่วนตระกูลเย่นั้นมีวิธีเลี้ยงดูลูกหลานของตัวเองในวิธีที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหากว่าไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเย่ก็จะไม่อาจได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้
เย่เฉินกล่าวเสียงเรียบๆ “ผมรู้แล้ว เรื่องตรวจ DNA เดี๋ยวผมจะหาเวลาจัดการ”
แล้วเย่เฉินก็กดวางสายไป
เขาไม่ได้ตั้งใจจะตรวจ DNA เลยในตอนนี้ อย่างไรเสียหวังเจียเหยาเพิ่งจะคลอดลูก และเด็กๆ เองก็เพิ่งจะลืมตาดูโลก
อีกทั้งตอนนี้คนตระกูลหลิ่วและหวังต่างก็คอยเฝ้าอยู่ เย่เฉินไม่สามารถเข้าใกล้ลูกตนเองได้เลย
เย่เฉินตั้งใจจะปล่อยให้หวังเจียเหยาพักผ่อนไปสักพัก แล้วเขาค่อยพูดเรื่องตรวจ DNA กับหญิงสาว
เย่เฉินเดินออกจากบันไดหนีไฟกลับไปที่ห้องพักฟื้นแล้วสะกิดหลังฉินหงเหยียน “พวกเรากลับกันเถอะ”
“ค่ะ”
แล้วทั้งสองก็ขับรถออกจากโรงพยาบาลไป
ฉินหงเหยียนพบว่าท่าทางของเย่เฉิน ไม่ได้มีความสุขเหมือนคนเพิ่งได้เป็นพ่อคนก็ถามขึ้นมาว่า
“เย่เฉินทำไมคุณถึงทำหน้าตึงล่ะ? ได้ลูกแฝดชายหญิงคุณไม่ดีใจเหรอคะ?”
เย่เฉินถึงได้ฝืนยิ้มออกมา “เปล่านี่ครับ ผมดีใจมากเลย”
ฉินหงเหยียนจะมองความคิดเขาไม่ออกได้ยังไงกัน?
ในรถไม่มีคนอื่น ฉินหงเหยียนจึงพูดตรงไปตรงมา “เอ่อ… เย่เฉิน คุณกังวลใช่ไหมคะว่า…เด็กๆ จะไม่ใช่ลูกของคุณ?”
หวังเจียเหยาไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนักหนา หล่อนนอกใจเขาอยู่บ่อยๆ แถมยังโกหกจนเป็นนิสัย คำพูดของหล่อนจึงไม่มีน้ำหนัก ไม่น่าเชื่อถือ
แต่เย่เฉินกลับหัวเราะ “เป็นไปได้ยังไงกัน! เด็กๆ ต้องเป็นลูกผมอยู่แล้ว ตอนนั้นที่เราอยากมีลูกกันเป็นช่วงที่เราเพิ่งกลับมาแต่งงานกันใหม่อีกรอบ! ตอนนั้นเราสองคนสวีทหวานแวว อีกทั้งตอนนั้นผมเพิ่งบอกหล่อนไปว่าผมเป็นใคร หล่อนเองก็รู้กฎของตระกูลผมว่าถ้ามีลูกจะต้องตรวจ DNA ด้วย ดังนั้นถึงตอนนั้นหล่อนจะทิ้งผม แล้วไปมีผู้ชายคนอื่นจริงๆ แต่หล่อนไม่น่าจะกล้าทำตัวเหลวไหลเพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติของตระกูลเย่เรา”
เย่เฉินเข้าใจหวังเจียเหยา หล่อนเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงินมากกว่าอะไรทั้งนั้น!
ตอนนั้นหวังเจียเหยานอกใจไปหาหลิ่วอวี่เจ๋อ นั่นเพราะตอนนั้นหล่อนท้องแล้ว ตั้งท้องลูกของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ถ้าหากว่าตอนที่หล่อนรู้จักหลิ่วอวี่เจ๋อยังไม่ได้ตั้งท้องลูกของเย่เฉิน ไม่แน่ว่าอาจจะไม่กล้ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลิ่วอวี่เจ๋อก็ได้
ฉินหงเหยียนฟังการวิเคาระห์พวกนี้ของเย่เฉินแล้ว ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าเย่เฉินน่าสงสารอย่างมาก
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งลูกของตนเองคลอดออกมาแล้ว เขายังต้องอาศัยการวิเคราะห์แยกแยะต่างๆ กว่าจะสรุปได้ว่าเด็กเป็นลูกของตนเอง คิดแล้วมันยอกแสลงใจ
ฉินหงเหยียนกุมมือเย่เฉินพลางกล่าว “ที่รักคะ ถ้าตอนฉันลอดลูกจะต้องไม่ทำให้คุณมีเรื่องต้องเป็นกังวลมากขนาดนี้ ขอแค่เป็นลูกที่ฉันคลอดเชื่อฉันเถอะนะคะว่าจะต้องเป็นลูกของคุณแน่นอน ไม่มีข้อเป็นไปได้อื่นอีก”
มือข้างหนึ่งของเย่เฉินกำพวงมาลัย แล้วอีกข้างก็จับมือของฉินหงเหยียน
สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นฉินหงเหยียนที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจและปลอดภัย!
ส่วนสิ่งที่หวังเจียเหยาให้เขานั้นมีแต่ความเสียใจ การทรยศหักหลัง ความสงสัยคลางแคลงใจและเจ็บปวด!
……
แล้วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
เย่เฉินรู้สึกว่าหวังเจียเหยาคลอดลูกแล้วพักผ่อนเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว คิดว่าได้เวลาไปโรงพยาบาลแล้ว เพื่อคุยกับหญิงสาวเรื่องแซ่ของลูกและเรื่องตรวจ DNA ด้วย
ดังนั้นเย่เฉินจึงออกไปซื้อผลไม้และของบำรุงให้อีกฝ่ายตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วไปโรงพยาบาล
จนไปถึงห้องพักฟื้น VIP เย่เฉินถึงได้พบว่าด้านนอกห้องพักผู้ป่วยว่ามีบอดี้การ์ดสองคน
“นายมาทำไม?”
หนึ่งในบอดี้การ์ดถามเย่เฉิน
เย่เฉินมองประเมินทั้งสองคน คิดไม่ถึงว่าตระกูลหลิ่วจะจ้างบอดี้การ์ดมาด้วย ดูไปแล้วพวกเขาให้ความสำคัญกับหวังเจียเหยาและลูกฝาแฝดของพวกเขาสองคนไม่น้อย
เสียดายว่าเด็กๆ ไม่ได้มีสายเลือดตระกูลหลิ่วของพวกคุณแม้แต่นิดเดียว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)