ที่หวังเจียเหยามักจะทำตัวมั่นใจสูงส่งยามอยู่ต่อหน้าเย่เฉิน ต่อให้ตนเองเป็นคนทำผิดแต่ก็ยังกล้าบังคับให้เย่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษ
สาเหตุหลักนั่นเพราะความเย่อหยิ่งในครอบครัวตัวเอง
ตั้งแต่เด็กจนโตหวังเจียเหยาเรียนในโรงเรียนของลูกคนรวย จึงได้เรียนเปียโน ไวโอลินและการเต้นตั้งแต่เด็กจึงคิดไปเองว่าทั้งมารยาทและการอบรมสั่งสอนเหนือกว่าเย่เฉินไม่ใช่เพียงแค่ขั้นเดียว
ถึงแม้หล่อนจะชอบเย่เฉิน แต่ในสายตาของตัวหล่อนเองคิดเสมอว่าตนเองและเย่เฉินอยู่กันคนละโลก
ในตอนนี้หวังเจียเหยาถึงได้รู้ว่าพวกเขาสองคนอยู่กันคนละโลกจริงๆ
แต่ที่ต่างไปจากเมื่อก่อนที่หล่อนคิดก็คือคนที่อยู่ในโลกที่สูงส่งกว่าคนนั้นคือเย่เฉินต่างหาก!
อีกด้านหนึ่งหวงเฉิงหมิงกล่าวกับฉินหลางว่า “ผมถามหน่อยฉินหลาง ตระกูลฟางให้เงินคุณเท่าไหร่กันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะเชิญคุณมาได้? คุณปฏิเสธไม่รับการแสดงตามงานแต่งมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ? คราวก่อนลูกชายเพื่อนผมแต่งงาน ผมจะเชิญคุณผมถามคุณหน่อยสิที่คุณปฏิเสธโดยไม่คิดเนี่ยเพราะรังเกียจที่ผมไม่จ่ายเงินจ้างคุณใช่ไหม?”
ปกติแล้วในงานแต่งงานของพวกคนร่ำรวยมักจะชอบเชิญนักร้อง นักแสดง นักเปียโนชื่อดังมาร่วมงาน เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพของตระกูล
ฉินหลางกล่าวว่า “ที่ไหนกัน คุณหวง คุณอย่าเข้าใจผมผิดสิครับ ผมไม่ได้มาเพราะตระกูลฟางเชื้อเชิญผมมมา แต่เพราะอาจารย์ของผม ‘คุณแกรี’ บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเย่เฉิน ให้ผมมาเล่นเปียโนให้เขาสักเพลงโดยเฉพาะ”
เย่เฉินกล่าวด้วยความเกรงใจเล็กน้อย “อาจารย์นี่ก็จริงๆ เลยรู้อยู่แล้วว่าคุณยุ่ง สัปดาห์หน้ายังต้องเตรียมงานคอนเสิร์ตที่ทำเนียบขาว คิดไม่ถึงว่ายังจะเรียกคุณมางานด้วย”
ฉินหลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอก หลายปีมานี้ไม่ได้เจอกัน ฉันล่ะคิดถึงนายจริงๆ เลย! จริงสิ เย่เฉินนายอยากฟังเพลงอะไร?”
เย่เฉินครุ่นคิดแล้วกล่าว “ขอฟัง La campanella [1]แล้วกัน”
ทันทีที่กล่าวจบ คนในงานจำนวนไม่น้อยก็ตื่นเต้นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เรียนเปียโนถึงกับหลุดอุทานออกมา “La campanella เป็นหนึ่งในสิบเพลงที่ยากที่สุดในโลก!”
ทุกคนในแวดวงนี้ที่มาร่วมงานในวันนี้ หากสุ่มเรียกใครมาสักคนต่อให้เป็นเด็กเล็กก็อาจจะสามารถเล่น Canon[2]หรือ A comme amour[3]ได้
แต่เพลงยากระดับโลกอย่าง La campanella ไม่ใช่ว่าใครก็จะเล่นได้และไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสได้ฟัง!
ฉินหลางกล่าวว่า “ได้เลยงั้นเล่นเพลงนี้ก็แล้วกัน!”
บนเวทีมีเปียโนที่เพิ่งจะปรับคีย์เสร็จอยู่พอดี ฉินหลางทดลองเสียงแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไรก็พูดใส่ไมโครโฟนว่า
“เพลง La campanella นี้ขอมอบให้กับศิษย์พี่ของผม เย่เฉิน ขอให้คุณมีความสุขในวันครบรอบ 25 ปีนะ!”
แล้วคนในงานก็ปรบมือเสียงดัง
ฉินหลางเริ่มทำการแสดง มือทั้งสองวางลงบนคีย์ตัวแรกของโน้ตเสียงสูง ทำให้คนอดโยกตัวไปตามเสียงเพลงไม่ได้
ที่จริงเย่เฉินก็สามารถเล่นบทเพลงบทนี้ได้เช่นกัน ถึงขนาดที่เคยแข่งกับคู่แข่งที่มีความสามารถในระดับเดียวกับหวังเจียเหยาด้วยซ้ำไป
แต่ความแตกต่างระหว่างเล่นได้กับเล่นเป็นนั้นต่างกันมาก คนที่เล่นเปียโนเป็นทุกคนในงานต่างก็รับรู้ถึงความแตกต่างอย่างมโหฬารระหว่างตนเองกับฉินหลางเป็นอย่างดี
บทเพลงบทนี้มีทั้งความยากและทักษะที่ต้องใช้ในการเล่นดนตรีอย่างสูง ทั้งการกระโดดทำนอง การหมุนนิ้ว การรัวคีย์และการเล่นคร่อมจังหวะเป็นต้น
ทุกคนในงานคนที่บอกว่าตัวเองเล่นเพลง La campanella ได้ก่อนนี้พอหลังจากได้เห็นด้วยและได้ยินบทเพลงนี้จากฝีมือฉินหลางแล้วตลอดชีวิตที่เหล่ออยู่ก็ไม่กล้าพูดอีกเลยว่าตนเองเล่นบทเพลงนี้เป็น
“ช่างมีความสุขจริงๆ! หลังจากนี้ฉันไม่อยากเล่นบทเพลงนี้แล้ว! ฉันว่าถ้าฉันเล่นจะเป็นการดูหมิ่นเพลงนี้!”
“เป็นเพราะคุณเย่ เราถึงได้มีโอกาสได้เห็นการแสดงของยอดนักเปียโนในระยะประชิดแบบนี้!”
เพลงยาวประมาณสี่นาที ในระยะเวลาสี่นาทีกว่าๆ นี้ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็ใจเต้นระรัวเร็ว บางคนถึงขนาดน้ำตาคลอด้วยซ้ำไป!
ท้ายที่สุดเมื่อฉินหลางรัวโน้ตละม้ายว่าเป็นโน้ตตัวสุดท้าย ทำให้คนที่รู้ดนตรีจำนวนไม่น้อยลุกขึ้นปรบมือแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าบทเพลงนี้ได้จบลงแล้ว
ทว่าการแสดงของฉินหลางกลับยังไม่จบลง
ฉินหลางใช้โน้ตตัวสุดท้ายของเพลง La campanella มาเริ่มบทเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์
ทุกคนในงานแต่งงานจึงเริ่มร้องเพลงคลอไปกับการบรรเลงของฉินหลาง
“Happy Birth Day to you
“…Happy Birth Day to you
“…Happy Birth Day to you
“…Happy Birth Day to you”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)