จังเสี่ยวลิ่งทำหน้าเลิ่กลั่ก นางงุนงงในสิ่งที่สตรีทั้งสองพูดคุยกันยิ่งนัก จู่ๆ เหตุใดสตรีที่เพิ่งเข้ามาผู้นี้จึงอยากได้นางไปเป็นบุตรบุญธรรมนักเล่า? แต่เท่าที่จับความได้เหมือนกับบุตรีของนางหายตัวไป...นางเห็นว่าตนหน้าคล้ายนางจึงชมชอบ!
“ดูสิท่านพี่หลี่ พวกเราทำเอาเสี่ยวลิ่งตกใจเสียแล้ว”
โฉวฮูหยินยกมือขึ้นตบบ่าของเสี่ยวลิ่งเบาๆ “ท่านผู้นี้คือหงฮูหยิน ภรรยาของรองแม่ทัพมู่ปิ่นซูที่กำลังจะไปประจำการในค่ายพยัคฆ์เหิน นางกำลังตามหาบุตรสาวที่หายไปหลายสิบปี เจ้ามีส่วนคล้ายนางในตอนสาวๆ จึงได้ต้องการเจ้าไปเป็นบุตรบุญธรรม”
หงฉู่เย่พยักหน้ารับ...ท่านพี่หลี่ช่างฉลาดนัก นางไม่ยอมบอกรายละเอียดของเรื่องที่เคยคุยกันส่วนตัวให้เสี่ยวลิ่งได้ทราบ...เมื่ออนุญาตให้เสี่ยวลิ่งกลับจวนตระกูลจ้าวได้ โฉวฮูหยินจึงเรียกให้พ่อบ้านนำตัวคู่หมั้นของบุตรชายขึ้นรถม้ากลับ
“ข้าเองก็อยากจะให้เจ้าได้เจอบุตรสาวตัวจริง หากเราบอกรายละเอียดนางไปจนหมด ข้ากลัวว่าจะมีคนสวมรอยมาเป็นบุตรสาวเจ้า ความลับยิ่งรู้น้อยคนก็ยิ่งดี”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่หลี่มากที่ช่วยระวังแทนข้า”
“เจ้าคิดจะกลับไปปรึกษารองแม่ทัพมู่ก่อนหรือไม่?”
หงฮูหยินไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้สามีทราบ ความผิดหวังสิบกว่าครั้งที่สองสามีภรรยาได้รับกลายเป็นบาดแผลในใจเหวอะหวะ นางอยากจะสืบให้แน่ใจเสียก่อน หากจังเสี่ยวลิ่งเป็นบุตรีที่หายไปจริงๆ ก็จะกลายเป็นข่าวดีที่สร้างความสุขให้กับสามีผู้ทุกข์ใจมาเนิ่นนาน แต่หากไม่ใช่ก็แค่นำตัวจังเสี่ยวลิ่งไปให้สามีดูเพื่อให้เขาเห็นด้วยที่จะไปขอนางจากสกุลจังมาเป็นบุตรบุญธรรม
“ท่านพี่ของข้าโทษตนเองมาตลอดว่ามิได้อยู่ดูแลบุตรคนโตด้วยตนเองจึงทำให้นางประสบกับชะตากรรมที่เลวร้าย ในยามที่เห็นข้าร้องไห้ท่านพี่ก็จะยิ่งโศกเศร้า แม้จะปลอบโยนข้าแต่ท่านพี่ก็จะหลั่งน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดอยู่เสมอ ข้าจึงไม่กล้าจะร้องไห้ให้ท่านพี่เห็นอีกเจ้าค่ะ”
โฉวหลี่กุมมือและตบหลังมือของหงฮูหยินเบาๆ “ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งที่จะช่วยเจ้าได้ ให้เขาช่วยสืบเรื่องของเสี่ยวลิ่งมิให้เอิกเกริกอย่างที่เจ้าต้องการ”
ในเมื่อภรรยาของคหบดีใหญ่ผู้กว้างขวางแห่งเมืองหลวงรับรองเช่นนั้น หงฉู่เย่จึงพยักหน้ารับ “แล้วแต่ท่านพี่หลี่จะเมตตาช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
สตรีวัยกลางคนทั้งสองจึงนั่งรถม้าของจวนสกุลมู่ไปยังสำนักข่าวนกกระจิบ เมื่อแจ้งธุระแก่หลงจู๊ พวกนางจึงถูกเชิญไปยังห้องทำงานของคุณชายจิน ด้วยความที่ตระกูลของจินวั่งซู่ก็เป็นตระกูลพ่อค้า โฉวฮูหยินจึงคุ้นเคยกับบิดามารดาของจินวั่งซู่เป็นอย่างดี
“เชิญฮูหยินทั้งสองนั่งก่อนขอรับ หากข้าจำไม่ผิดท่านผู้นี้คือฮูหยินของรองแม่ทัพมู่ใช่หรือไม่ขอรับ?”
โฉวฮูหยินยิ้มกว้าง “คุณชายจินรู้จักนางด้วยหรือ?”
“ข้าเคยเห็นฮูหยินไปงานเลี้ยงในวังหลวงสองสามครั้งขอรับ แต่น่าเสียดายที่มิได้เข้าไปคารวะแนะนำตัว”
“ข้าเสียอีกที่น่าเสียดาย แทนที่จะได้รู้จักคนเก่งอย่างคุณชายจินเหมือนอย่างท่านพี่หลี่”
คำเรียกขานและกริยาท่าทางที่แสดงออกระหว่างสตรีทั้งสองทำให้จินวั่งซู่ประเมินได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางถือว่าอยู่ในระดับดีมาก
“ไม่ทราบว่าฮูหยินทั้งสองมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?”
หงฮูหยินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวเมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนให้กับจินวั่งซู่ได้ฟัง ส่วนโฉวฮูหยินก็เล่าเรื่องที่นางสงสัยว่าจังเสี่ยวลิ่งว่าที่ลูกสะใภ้ของนางอาจจะกลายเป็นบุตรีที่หายไปผู้นั้น เพียงแต่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนางอยู่หลายประการที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน
“พวกท่านบอกว่านางเกิดเดือนเดียวปีเดียวกับคุณหนูมู่แต่เกิดคนละวันโดยที่นางบอกว่าในใบเกิดระบุวันที่พ่อบ้านสกุลจังพบนางที่หน้าประตู หนำซ้ำนางยังมีแผลเป็นบนต้นแขนที่เดียวกันอีก แต่ที่พวกท่านสงสัยคือคุณหนูมู่ถูกลักพาตัวไปจากเมืองหลวงตอนมีอายุได้เพียงเจ็ดวัน ไม่น่าจะมีคนคิดนำนางไปทิ้งถึงเมืองพยัคฆ์เหินเพราะกว่าจะเดินทางไปถึงทารกที่มีอายุเพียงเจ็ดวันก็น่าจะทนไม่ไหวใช่หรือไม่ขอรับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)