เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 13

สรุปบท ตอนที่ 13.1: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอนที่ 13.1 – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายแฟนตาซีทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 13.1 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล ตอนที่ 13.1
ตอนที่ 13.1

บทที่ 13

“จัดเตรียมแท่นรองลงจากรถม้าให้พร้อม!”

เบเจอร์รีบวิ่งเข้าไปใกล้ ตะโกนสั่งข้ารับใช้เสียงดัง ราวกับกลัวรถม้าของกลุ่มการค้าดิวรักจะจอดก่อนที่เขาจะไปถึง

เครย์ลีบันที่เดินตามหลังมาพร้อมกับรูลลักเดาะลิ้นเสียงแผ่วดังจิ๊จ๊ะ

ระหว่างที่รอกลุ่มการค้าดิวรักขนตัวอย่างสิ่งทอมา เขาได้ทำการสืบเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้ากลุ่มการค้า

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หัวหน้ากลุ่มการค้าเป็นคนของจักรพรรดินีพูดให้ถูกก็คือ เจ้าตระกูลอังเกนัสคนปัจจุบันมีความสัมพันธ์เป็นลุงนั่นเอง

หากจะนับลำดับญาติ คนคนนี้เป็นแค่ญาติห่างๆ จากตระกูลสายกลาง แต่เพราะเป็นบุคคลที่เติบโตมาอย่างสนิทสนมกับจักรพรรดินีมาตั้งแต่เด็ก จึงมีบทบาทที่สำคัญเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ท่าทางของเบเจอร์มันโอเวอร์เกินเหตุ

อีกฝ่ายเป็นคนของจักรพรรดินีก็จริง แต่เบเจอร์เองก็เป็นถึงบุตรชายคนโตของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องแสดงท่าทางนอบน้อมถึงขนาดนั้น

ต่อให้เป็นอังเกนัสซึ่งเป็นตระกูลของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ตระกูลที่จะกล้ามาเปรียบเทียบกับลอมบาร์เดียอย่างแน่นอน

ที่เครย์ลีบันเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ รูลลักที่ยืนอยู่ข้างๆ ย่อมไม่มีทางไม่ได้ยิน แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อยเขาเพียงแค่ยืนเอามือไขว้หลัง มองบุตรชายคนโตของตัวเองด้วยนัยน์ตาที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่เท่านั้น

สุดท้ายเมื่อเบเจอร์เข้าไปช่วยเปิดประตูรถม้าแทนข้ารับใช้ หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักก็ลงมาจากรถม้าด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก่อนจะโค้งศีรษะทักทายไปทางรูลลัก

อย่างน้อยคนคนนี้ก็เป็นคนที่รู้ลำดับขั้นที่เหมาะสมสินะ

เครย์ลีบันหัวเราะเยาะในใจ

“ลำบากเดินทางแล้ว มาตรวจสอบสินค้ากันก่อนเข้าไปข้างในเป็นอย่างไร”

“ได้ครับ”

หัวคิ้วของหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักขมวดลงเล็กน้อยเขานำผ้าทอมาด้วยเพราะอีกฝ่ายบอกให้เอามาดูก็จริง แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการค้าจริงๆ

เบเจอร์ซึ่งรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะหลายครั้งให้หัวหน้ากลุ่มการค้าวางใจว่ามันเป็นแค่ขั้นตอนการทำงานเท่านั้นรีบเดินเข้ามาขวางหน้ารูลลัก ก่อนจะเอ่ยพูด

“ท่านพ่อ จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นด้วยหรือครับ หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเองก็นำสินค้ามาแสดงความจริงใจถึงที่นี่แล้ว…”

“หลบไป”

นัยน์ตาขุ่นเคืองของรูลลักมองจ้องไปยังเบเจอร์ แม้จะไม่ได้ขมวดคิ้วทำหน้านิ่วหรือจ้องเขม็งอะไรขนาดนั้น แต่เบเจอร์ที่เห็นสายตานั่นกลับกระตุกเกร็งในทันที

“ข้าเคยสอนให้ขวางหน้าเจ้าตระกูลได้หรือ”

“อา…”

ในตอนนั้นเองเบเจอร์จึงค่อยตระหนักได้ถึงความผิดพลาดของตน ก่อนจะรีบก้าวขาไปด้านข้างหนึ่งก้าว เพื่อหลบทางให้อย่างรวดเร็ว

“เปิดผ้าคลุมออก”

เมื่อได้ยินคำสั่งของรูลลัก เหล่าข้ารับใช้จึงเปิดผ้าคลุมรถม้าขนสัมภาระที่กลุ่มการค้าดิวรักนำติดมาด้วย

“อืม”

รูลลักยื่นมือออกไปลูบผ้าทอครางเสียงทุ้มต่ำ

เนื้อผ้าทั้งหยาบ ทั้งไม่สม่ำเสมอ

“เครย์ลีบัน”

ทันทีที่รูลลักเรียก เครย์ลีบันก็เข้ามาใกล้คล้ายกับรอคอยอยู่แล้ว

ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหนล่ะ พอได้ลองสัมผัสเนื้อผ้าทอ สีหน้าของเขาเองก็ไม่ดีเลยเช่นกัน

“ทำมาจากวัสดุอะไรครับ”

เครย์ลีบันเอ่ยถามหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก

“อา เรื่องนั้น…”

หัวหน้ากลุ่มการค้าลังเลไปชั่วครู่ ราวกับคิดอะไรไม่ออก

จักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ราวีนี่อังเกนัส เป็นคนใจแคบ ทั้งยังมีความทะเยอทะยานสูงในขณะเดียวกันถ้าเพื่อทำให้โอรสของตนได้ขึ้นเป็นรัชทายาท ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็คงยอม

กลุ่มการค้าดิวรักที่จัดตั้งขึ้นอย่างเร่งด่วน ที่จริงแล้วมันมีสาเหตุมาจากสินบนที่ต้องตัดแบ่งมอบให้พวกสภาขุนนางมีไม่มากพอจึงได้จัดตั้งดำเนินการขึ้นเพื่อหาเงินทุนเพิ่มเติม

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าหากธุรกิจไปได้ไม่ดีและก่อให้เกิดสถานการณ์ขาดแคลนทางการเงินจนทำให้จักรพรรดินีไม่พอใจขึ้นมาละก็ เห็นได้ชัดเลยว่าความผิดนั้นจะตกลงใส่หัวใคร

เบเจอร์คงจะคิดว่าถ้าหากได้รับหน้าที่ดูแลงานครั้งนี้ ก็จะได้ใกล้ชิดกับขุมอำนาจฝ่ายจักรพรรดินีมากขึ้น ถึงได้กระสับกระส่ายขนาดนั้น

ในที่สุดรูลลักก็ตัดสินใจ

ธุรกิจสิ่งทอครั้งนี้จะไม่ใช่แค่จักรพรรดินีเท่านั้น แต่จะกลายเป็นบททดสอบของรูลลักด้วยเช่นกัน

“เบเจอร์”

“ครับ ท่านพ่อ! ”

“ธุรกิจสิ่งทอนี่…”

ก่อนหน้าเพียงเสี้ยววินาทีที่คำว่า ‘ต่อไปให้เจ้ารับผิดชอบ’ จะหลุดออกมา

พลันมีศีรษะเล็กทุยผมสีน้ำตาลโผล่ออกมาหลังล้อรถม้าขนสัมภาระ เสียงชัดถ้อยชัดคำดังขึ้น

“ว้าว ผ้าไว้ทำเสื้อผ้านี่นา!”

ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งเครียดต่างก็หันไปมองทางด้านนั้นกันอย่างพร้อมเพรียง

“ฟีเรนเทีย?”

รูลลักพึมพำด้วยความตกใจ

ฟีเรนเทียส่งยิ้มกว้างไปทางท่านปู่ที่กำลังตื่นตระหนก ก่อนจะพูดเสียงดัง

“พ่อของข้าทราบเรื่องพวกนี้ดีเลยนะ!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]