“จะ…เจ้า นังเลือดผสม!”
“หุบปากซะ เบเลซัก”
เธอขวางไม่ให้เด็กนี่ร่ายบทพูดน่าเบื่อซ้ำซากออกมาอีก
“ตอนนี้ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งฟังเจ้าพูดกระแนะกระแหนโน่นนี่ว่า ‘เลือดผสม’ หรอกนะ? รีบไสหัวไปซะในตอนที่คนเขายังพูดดีๆ ด้วยน่ะ”
ตอนนี้ที่เธอฟิวส์ขาดได้ง่ายเพราะเรื่องของท่านพ่อ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเด็กอย่างเบเลซักมาวนเวียนรอบตัว เธอจะเผลอลงมือทำอะไรกับเขาบ้าง
ที่เธอพูดออกไปนี่ก็เป็นคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยของตัวเบเลซักเองทั้งนั้นนะ
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเบเลซักจะเข้าใจไปในทางไหนอีก
หมอนั่นกัดฟันกรอด พ่นลมหายใจเสียงฮึดฮัดจนจมูกบาน
“เจ้ามันไร้ค่า!”
“คิดให้ดีนะ”
ฟีเรนเทียเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะ
แล้วเอ่ยถามอาสทัลลีอู
“เจ้าทำไมถึงได้เอาแต่ติดตามเด็กแบบนั้นกันแน่เนี่ย”
อาสทัลลีอูเบิกตากว้าง ก่อนจะเหลือบมองเบเลซัก
“แถมยังพาน้องชายตัวเล็กมาด้วยอีก”
น้องชายของอาสทัลลีอู เครนีย์เป็นเด็กที่ตัวเล็กมากเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะอายุเจ็ดขวบจริงๆ
ภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เป็นเด็กที่ไม่เน่าเฟะเพียงคนเดียวในบรรดาลูกพี่ลูกน้องของเธอ และยังเป็นคนที่เธอรู้สึกแย่ด้วยน้อยที่สุด
เรือนผมสีแดงที่ได้รับสืบทอดจากสายเลือดทางฝั่งมารดาอย่างตระกูลกิเนฟอร์คและใบหน้าเต็มไปด้วยกระนั่น ทำให้เขายิ่งดูเด็กมากยิ่งขึ้น
“เบเลซักน่ะเป็นเชือกที่ขาดแล้ว เพราะฉะนั้นไปหาเชือกอื่นเถอะ”
ฟีเรนเทียเตือนจากใจ
เธอไม่คาดหวังหรอกว่าอาสทัลลีอูจะจดจำคำแนะนำของเธอแต่ถ้าหากในภายภาคหน้าเด็กนี่จำช่วงเวลานี้ได้ เขาคงจะกระทืบเท้าด้วยความเสียใจ พร่ำบอกว่า ‘ตอนนั้นน่าจะฟังคำเตือนนั่นไว้แท้ๆ!’
“ไม่ได้การ พวกเราไปกันเถอะ เฟเรส”
เธอไม่อยากมองหน้าพวกโง่นี่อีกต่อไป หลังจากที่พูดแบบนั้นจึงตั้งใจจะพาเฟเรสออกไปจากสวน
“เฮ้เลือดผสม! ดูเหมือนจะภูมิใจมากเลยนะที่ไอ้เจ้าชายลำดับที่สองนี่มันมาหาเจ้าน่ะ!”
เธอหยุดชะงักฝีเท้า หันหลังกลับไปหาเบเลซัก
คงกลัวคนอื่นเขาไม่รู้มั้งว่าเป็นแฝดวิญญาณของอาสทาน่าน่ะ ถึงกลับต้องห้อยดาบไว้ที่เอว โอ้อวดว่าตัวเองเรียนวิชาฟันดาบ เหมือนกันจนน่าขัน
หากเป็นปกติเธออาจจะเมินเฉย แล้วยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ ก็ได้ แต่วันนี้เธอกำลังอารมณ์เสีย ทำให้เส้นความอดทนมันขาดผึงอย่างรวดเร็ว
เธอชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง
“เรื่องแรก ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสมน่ะ เรื่องที่สอง ไอ้เจ้าชายลำดับที่สองงั้นเหรอ จะทำตัวโง่เง่าไปถึงเมื่อไหร่กัน และเรื่องที่สาม ทำไมข้าจะต้องมานั่งอวดคนโง่อย่างเจ้าด้วยล่ะ วุ่นวายจนน่ารำคาญเหมือนพวกแมลงหวี่แมลงวัน ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงเจ้าน่ะ”
ทิ้งท้ายไว้แค่นิ้วกลางเพียงนิ้วเดียวที่ยังคงชูตระหง่าน
“วะ…ว่ายังไงนะ”
เบเลซักพูดตะกุกตะกัก พยายามทำความเข้าใจคำพูดของเธออยู่พักใหญ่ แต่ก็ล้มเหลวหาคำพูดดีๆ เถียงเธอไม่ออก จนใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
และคราวนี้ก็เปลี่ยนเป้าหมาย
“หึ พวกเลือดผสมสองคนก็เหมาะกันดีนะ”
“เจ้าว่ายังไงนะ”
ได้ยินเสียงเส้นอะไรบางอย่างขาดผึงดังขึ้นในหัวสมอง
“พวกเลือดผสม?”
แค่พูดจาเสียดสีว่าเธอเป็นเลือดผสมยังไม่พอ นี่ยังถึงขนาดยุ่งกับเฟเรสที่อยู่เฉยๆ อีก
เธอหยิบสิ่งแรกที่มองเห็นบนพื้นขึ้นมาถือไว้ตามสัญชาตญาณ
“เจ้ามันตัวอะไร กล้าดียังไงมาด่าเขา”
มันเป็นหินก้อนค่อนข้างใหญ่
ฟีเรนเทียเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของแบบนี้ทำไมมาอยู่บนผืนหญ้าที่ถูกดูแลตัดแต่งอย่างดีได้ แต่ความรู้สึกของก้อนหินในกำมือนี่มันช่างเหมาะเหม็งดีจริงๆ
“จะ…เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!?”
ใบหน้าของเบเลซักยามมองก้อนหินที่เธอถือไว้ในมือเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ชิ้ง
ในที่สุดเบเลซักก็ก้าวถอยไปข้างหลังในขณะที่ชักดาบออกมา
แต่เธอไม่แม้แต่จะกะพริบตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...