แคลอฮันกำลังสนทนาอยู่กับเหล่าชนชั้นสูงรอบตัว แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันไปมองทางฝั่งลูกสาว
เด็กน้อยที่เมื่อครู่นี้ยังเดินเล่นอยู่ในงานเลี้ยงคนเดียว จู่ๆ ก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยพวกลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าชายลำดับที่สองเสียแล้ว
‘กำลังไปทางฝั่งน้ำพุช็อกโกแลตสินะ’
แคลอฮันตรวจดูก่อนว่าทางฝั่งทิศทางที่พวกเด็กๆ กับฟีเรนเทียกำลังเดินไปมีอะไรอยู่ ก่อนจะอมยิ้มเล็กน้อย
มันถูกจัดเตรียมเอาไว้ด้วยความเอาใจใส่ เพื่อเทียที่ชื่นชอบช็อกโกแลตเป็นพิเศษ
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงอารมณ์ร้ายดังขึ้นพังบรรยากาศครื้นเครง
“ทำตัวประหลาดเหมือนเคย”
“…ท่านพี่”
เบเจอร์กับแคลอฮันไม่ได้เผชิญหน้ากันแบบนี้ค่อนข้างนานแล้ว
“กับอีแค่วันเกิดอายุสิบเอ็ดปี แถมยังเป็นวันเกิดเด็กผู้หญิงอีก แต่กลับจัดงานเลี้ยงใหญ่โตขนาดนี้”
เบเจอร์เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ในขณะที่มองไปรอบๆ งานเลี้ยงด้วยใบหน้าเหยียดหยาม
“ไม่สิ้นเปลืองเกินไปหน่อยเหรอ”
“ที่ยืมลอมบาร์เดียในวันนี้นอกจากโถงจัดงานเลี้ยงก็ไม่มีสิ่งอื่นแล้ว วางใจเถอะครับ มันเป็นงานเลี้ยงที่จัดเตรียมขึ้นโดยใช้เงินส่วนตัวของข้า”
“…ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย แต่ถึงจะเป็นเงินของเจ้า นี่มันก็สิ้นเปลืองเกินไปจริงๆ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
หากไม่ใช้เงินทองกับบุตรสาวที่รักใคร่ หาเงินมากมายพวกนี้ไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน
“ไม่เป็นไรอะไรกัน เงินมันต้องใช้กับเรื่องที่ใหญ่โตกว่านี้ถึงจะถูก”
เพราะอยู่ต่อหน้าคนมากมายแคลอฮันถึงได้พยายามอดทนเอาไว้
แต่คำพูดที่ยังคงเอาแต่หาเรื่องกันไม่หยุดหย่อนเหมือนทุกครั้งนั่น ทำให้ความอดทนของแคลอฮันในตอนนี้เองก็ถึงขีดสุดแล้วจริงๆ
“เงินทองจะใช้แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับคนหาเงินนี่ครับ”
“ว่ายังไงนะ”
“ข้าว่า ข้าไม่สมควรที่จะเป็นฝ่ายฟังคำแนะนำเรื่องเงินทองจากท่านพี่หรอกนะครับ”
เบเจอร์เกือบจะระเบิดอารมณ์โมโหร้ายออกมาตามนิสัย แต่เมื่อตระหนักได้ว่ารอบกายพวกเขามีสายตาหลายคู่กำลังมองอยู่ จึงได้แต่ใช้สายตาจ้องแคลอฮันแทน
“พอเกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าก็ไม่เห็นหัวใครหน้าไหนแล้วสินะ”
“ครับ”
แคลอฮันหัวเราะ ไม่เก็บซ่อนความเป็นปรปักษ์ต่อเบเจอร์ ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น
“พอได้นอนป่วยด้วยโรคร้าย ข้าถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูยังไงล่ะครับ”
หลังจากที่แคลอฮันฟื้นตัว สิ่งแรกที่เขาลงมือทำก็คือสืบว่าใครเป็นคนปล่อยความลับนี้ให้แก่ตระกูลอังเกนัส
ผลลัพธ์ที่ได้จากการง้างปากดอกเตอร์โอมัลลี่ที่เป็นคนวินิจฉัยโรคของแคลอฮัน โดยให้สัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องอีกฝ่ายก็คือคำให้การทั้งหมดนั่นชี้เป้าไปที่เบเจอร์
แถมยังบอกอีกด้วยว่า ตอนที่ได้ยินข่าวว่าที่จริงแล้วเขาป่วยเป็นโรคเทรนด์บลู เบเจอร์หัวเราะเสียงดังด้วยความยินดีขนาดไหน
“เพราะแบบนั้นถึงได้ตาสว่างยังไงล่ะครับ”
เขาสร้างกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปขึ้นมาก็เพื่อปกป้องเทีย
และเขตแดนที่ได้รับมาก็เพื่อส่งมอบต่อให้แก่เทีย
เขาเคยคิดอย่างเรียบง่ายว่า แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่ทันทีที่เบเจอร์รู้ความจริงว่าเขาป่วยเป็นโรคร้าย อีกฝ่ายก็พยายามจะแย่งชิงทั้งหมดนั่นไปจากเขา
ไม่สิ แย่งชิงเอากิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปจากน้องชายที่นอนป่วยใกล้ตาย เพื่อเอาไปมอบให้พวกอังเกนัส
ในนัยน์ตาของแคลอฮันที่มองเบเจอร์ ในตอนนี้ไม่มีความรักความผูกพันใดๆ เหมือนแต่ก่อนหลงเหลืออีกต่อไปแล้ว
มันอาจจะใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะแยกแยะว่าใครเป็นมิตรเป็นศัตรู
แต่แคลอฮันไม่ใช่คนโง่ที่จะมีความรู้สึกดีๆ เหลือให้กับคนที่กลายมาเป็นศัตรูกันครั้งหนึ่งหรอก
มีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้นที่ได้รับถ่ายทอดมาจากมารดา แต่แคลอฮันคนนี้เองก็เป็นบุตรชายของรูลลักเช่นกัน
เขาไม่คิดที่จะให้อภัย ไม่คิดที่จะหมอบกายลงต่ำยอมให้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
“ระ…เรื่องนั้น…”
เบเจอร์กระแอมไอเสียงดังฮึ่ม ก่อนจะเอ่ยพูด
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...