เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

“ฮู่ว…”

เฟเรสเดินออกมารับลมด้านนอกระเบียง เสียงถอนหายใจที่กักเก็บไว้เสียนานดังออกจากปาก

ถึงแม้เขาเองก็จงใจทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่พวกคุณหนูทั้งหลายที่เข้ามาขอเต้นรำด้วย หรือพวกชนชั้นสูงที่เอาแต่ชวนเขาคุยไม่หยุดพวกนั้น ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมากจริงๆ

เฟเรสยืนกอดอกพิงราวระเบียงด้านนอก

เพราะเจ้าของสายตาที่เอาแต่มองตามไล่หลังเขาจนน่ารำคาญได้เดินตามหลังเขาออกมาที่ระเบียงตรงมุมนี้ด้วยเสียแล้ว

“เลือกสหายได้ดี ดีสุดๆ เลยสินะ เจ้าน่ะ”

คนที่พูดจาเย้ยหยันเขาคืออาสทาน่าที่มีใบหน้าแดงก่ำเพราะเมาเหล้า

เฟเรสมองเหยียดอาสทาน่าที่ทำตัวเช่นนั้นด้วยแววตาดูถูก

ทันใดนั้นอาสทาน่าก็โมโหตะโกนเสียงแข็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนลำคอ

“เจ้า! คนอย่างเจ้ากล้าดียังไงมองข้าด้วยนัยน์ตาเช่นนั้น”

และพยายามเอื้อมมือไปกระชากเฟเรส แต่กลับพลาดอย่างแรง

เรื่องที่ต่อให้สติเป็นปกติดียังทำไม่ได้ อาสทาน่าที่ตัวโงนเงนไปมาจากฤทธิ์เหล้ายิ่งไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน

“อ๊ะ!”

อาสทาน่าเสียการทรงตัวจนเกือบจะร่วงตกจากราวระเบียง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความตกใจ

แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักได้ว่าเฟเรสกำลังมองตนอยู่ จึงชี้หน้าอีกฝ่าย ตะโกนเสียงดัง

“ตอนที่ยังสุขได้ก็สุขให้พอเถอะ! ต่อไปแม้แต่ฝันเจ้าก็ไม่อาจมีความสุขได้ ไอ้ชั้นต่ำ!”

คิ้วเข้มของเฟเรสกระตุก

ไม่ใช่เพราะคำว่า ‘ชั้นต่ำ’ ที่ดังกระแทกหู

คำพูดพวกนั้น ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรมันแล้ว

“ตอนที่ยังสุขได้ ก็สุขให้พองั้นหรือ”

ปฏิกิริยาของเฟเรสทำให้อาสทาน่ายิ่งรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับชัยชนะ

“ตอนนี้ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียยังเด็ก เจ้าถึงได้ใช้เหตุผลเรื่องที่เป็นสหาย แสร้งทำตัวสนิทสนมตามเกาะติดนางไปทั่วได้ แต่ถ้าหากอายุมากขึ้นละก็ มันคงจะยากแล้วละมั้ง”

“…”

เฟเรสไม่ตอบอะไร แต่อาสทาน่ากลับยิ้มหยันราวกับล่วงรู้ความคิดทุกอย่าง

“อย่างน้อยนางก็เป็นบุตรสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ถึงแม้จะมีสายเลือดชั้นต่ำของมารดาผสมอยู่ด้วยก็เถอะ”

พูดจาราวกับประเมินค่าสุนัขตัวหนึ่ง

“หากเป็นเงินทองของท่านชายแคลอฮันแล้วละก็ ต่อให้ใช้ฟุ่มเฟือยแค่ไหน ก็ยังมีเหลือให้ใช้มากโข ต่างจากเจ้าที่ต่อให้หายตัวไปตอนนี้ ก็ไม่มีใครตามหา”

ปากของเฟเรสเปิดออกราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็ปิดลงอีกครั้ง

เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูด

ต่อให้โมโหแค่ไหน แต่คำพูดที่อาสทาน่าพูดเสียดสีเขาพวกนั้น ทั้งหมดเป็นความจริง

มันเป็นความกังวลอย่างหนึ่งที่เฟเรสเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในหัวสมองอยู่เรื่อย ตั้งแต่วันที่รูลลัก ลอมบาร์เดียแวะมาหาเขาที่วังโฟอิรัคเมื่อวันก่อน

“เจ้าไม่คู่ควรที่จะยืนข้างกายฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียหรอก”

กรอด

สุดท้ายเฟเรสก็ได้แต่กัดฟันแน่น

“ถ้าเป็นข้าก็อีกเรื่อง”

นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสจ้องอาสทาน่าเขม็งราวกับจะแผดเผาให้ตาย

และเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าว

“อะ อะไรกัน”

ในตอนนั้นเองอาสทาน่าที่เอาแต่พูดจาเย้ยหยันเฟเรส ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ถึงความจริงที่ว่า เฟเรสเป็นคนมีความสามารถมากขนาดดึงออร่าออกมาใช้ได้ จึงรีบก้าวเท้าถอยไปข้างหลังทันที

จนกระทั่งสุดท้ายอาสทาน่าถูกผลักจนขาไปชิดติดกับราวระเบียง เฟเรสถึงได้พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ผิดแล้ว”

“อะ อะไร”

“ข้าบอกว่าผิดแล้ว”

และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟเรสก็คิดคำพูดที่เหมาะสมออก

“ไอ้คนนิสัยเหมือนเบเลซัก”

มันเป็นคำด่ารุนแรงที่เทียชอบใช้เป็นประจำ

“อะ ไอ้ชั้นต่ำ นี่เจ้าว่าอะไรนะ”

เฟเรสหลุบตามองขาที่สั่นระริกของอาสทาน่าเป็นการเยาะเย้ย แล้วจึงค่อยหันหลังหมุนตัวกลับ

“เจ้าต่างหากล่ะ เวลาที่ยังสุขได้ ก็สุขให้พอ”

เฟเรสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโถงงานเลี้ยงอีกครั้ง

* * *

“หมอนั่นไปไหนเนี่ย คงไม่ใช่ว่ากลับไปแล้วหรอกนะ”

หลังจากพร่ำปลอบท่านพ่อกับท่านปู่เสร็จ เธอก็เดินตามหาเฟเรสทั่วงาน แต่กลับไม่เห็นเขาแม้แต่ปลายจมูก

กำลังหันไปมองรอบๆ แต่แล้วสายตาก็พบเข้ากับเด็กผู้ชายวัยประมาณสิบกลางๆ เจ้าของผิวที่คล้ำเล็กน้อย กับเรือนผมสีบลอนด์แพลทินัมเข้า

“ขออภัยครับพอดีไม่ค่อยอยากเต้นรำเท่าไหร่น่ะครับ”

มันเป็นวิธีการพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ถือว่าค่อนข้างหยาบคายอยู่มาก เมื่อเทียบกับธรรมเนียมประเพณีมารยาทแบบเมืองหลวง

“ตะ ตายแล้ว! พูดจาไร้มารยาทเช่นนั้นได้ยังไง…”

นั่นไงล่ะ

คุณหนูคนที่เดินเข้าไปขอเขาเต้นรำหมุนตัวเดินจากไปด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง

“ฮู่ว…”

เด็กผู้ชายคนนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนเขาจะลำบากใจพอควร แต่พอหมุนตัวกลับมา ก็ดันชนเข้ากับเธอที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเข้า

“อ๊ะ! ขออภัยครับ! พอดีข้าไม่มีสมาธิเท่าไหร่… เป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณหนู”

เด็กชายช่วยจับไหล่พยุงตัวเธอ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกผิดมากจริงๆ ถึงแม้เธอจะไม่ได้ล้มจนตัวเปรอะเปื้อนอะไร แต่เขาก็ยังยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้เธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ คงเป็นเพราะเมืองหลวงต่างจากตะวันออกมาก เลยตั้งสติไม่ค่อยได้ใช่มั้ยคะเนี่ย”

พอเธอพูดแบบนั้นในขณะที่ส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้เขา นัยน์ตาของเด็กผู้ชายก็เบิกกว้าง

“ทราบได้ยังไงครับ ว่าข้ามาจากตะวันออก”

“อืม มองจากสีผิวของคุณชาย กับวิธีที่ใช้ปฏิเสธไม่เต้นรำเมื่อครู่ก็ทราบได้แล้วละค่ะ ได้ยินว่าทางตะวันออกมีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย”

ในสังคมชั้นสูงของเมืองหลวง ไม่มีใครเขาใช้คำพูดแบบนั้นกันหรอก

“ว้าว น่าทึ่งจริงๆ เลยครับ!”

เด็กผู้ชายกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะยิ้มกว้าง

ผมบลอนด์เงางามส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงจากโคมไฟในงาน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนและรอยยิ้มสดใสนั่น พอรวมตัวกันแล้วมันให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ต้องบอกว่า เขาเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ส่องประกายเจิดจรัสละมั้ง

เธอได้แต่เหม่อมองใบหน้ายิ้มแย้มนั่น แต่จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาหาเธอในขณะที่พูดขึ้น

“ยินดีที่ได้พบกันครั้งแรกครับ อาบีน็อกซ์ รูมันครับ”

อ้อ บุตรชายของเจ้าตระกูลรูมันที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเจ้าตระกูลทั้งๆ ที่ยังหนุ่มยังแน่นนี่เอง

เธอยื่นมือไปจับมือของอาบีน็อกซ์เป็นการทักทาย แล้วพูดแนะนำตัว

“ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ”

“อ๊ะ! คุณหนูลอมบาร์เดียนี่เองครับ!”

ตามคาด อาบีน็อกซ์เองก็รู้ว่าเธอเป็นใครในทันที

“ยินดีที่ได้พบนะครับ คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย! ”

ไม่มีสีหน้าประจบประแจงหรือแสร้งพยายามทำตัวให้ดูดีแต่อย่างใด

ดูซื่อตรง เหมาะสม

เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้ เธอถึงได้รู้สึกว่าเขา ‘เหมือนพระอาทิตย์’

ในตอนนั้นเองก็พลันเห็นเฟเรสที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากระเบียงด้านนอกพอดี

“เฟเรส! ทางนี้!”

พอได้ยินเสียงเธอตะโกน เฟเรสก็หันมามองพวกเรา

แต่ไม่รู้ทำไมสีหน้าของเฟเรสถึงได้ดูไม่เหมือนปกติเอาเสียเลย

จังหวะเก้าเดินยามเดินตรงเข้ามาหาโดยมองเธอเพียงแค่คนเดียวนั้นก็ดูเร็วกว่าปกติหลายเท่าเสียด้วย

“เทีย”

“ไปไหนมาเนี่ย”

“ไปรับลมมาครู่หนึ่งน่ะ”

“อะไรกัน ข้าไม่รู้เรื่องเลยเอาแต่ตามหาเจ้าตั้งนาน”

“…ตามหาข้า?”

ใบหน้าของเฟเรสพลันดูดีใจขึ้นมาแปลกๆ

“ก็ต้องตามหาสิ จะไม่หาได้หรือไง”

เด็กนี่ เรื่องนี้มันก็แน่นอนอยู่แล้วสิ

แต่ในระหว่างที่เธอกำลังสนทนากับเฟเรส ก็รู้สึกได้ว่าอาบีน็อกซ์กำลังมองเฟเรสด้วยนัยน์ตาร้อนแรง

“อ๊ะ ด้านนี้คือ…”

“อาบีน็อกซ์ รูมันพ่ะย่ะค่ะเจ้าชายลำดับที่สอง! ”

อาบีน็อกซ์ดูกระตือรือร้นมาก นัยน์ตาก็เหมือนมีเลเซอร์ส่องออกมา

มือที่ไขว้อยู่ข้างหลังนั่น เหมือนกับกำลังถือแท่งไฟเขย่าเชียร์เลย

แต่คำพูดเหนือความคาดหมายกลับดังออกมาจากปากเฟเรส

“อ้อ บุตรชายของท่านชายอินดีท รูมันที่เพิ่งรับตำแหน่งเจ้าตระกูล…”

ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่า ล่าสุดมานี่ตำแหน่งเจ้าตระกูลของตระกูลรูมันทางตะวันออกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

อา ก็เขาเป็นเด็กที่ฉลาดสุดๆ ไปเลยนี่นะ

เพราะความสามารถด้านการฟันดาบกับรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทำเอาเธอเผลอมองข้ามไปอยู่เรื่อยเลยว่าเฟเรสเป็นคนที่มีมันสมองเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก

“ระ รู้จักข้าด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

คนที่เขารู้จักจริงๆ คือเจ้าตระกูลรูมัน ผู้เป็นบิดาของเด็กนี่ต่างหากล่ะ แต่เฟเรสก็พยักหน้าลง

“อ่า ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะหลังจากทราบว่าพระองค์สามารถสร้างออร่าได้ ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยอยู่เลย กระหม่อมก็อยากจะพบพระองค์ให้ได้สักครั้งพ่ะย่ะค่ะ! ”

ดูเหมือนว่าอาบีน็อกซ์จะเป็นแฟนคลับของเฟเรสสินะเนี่ย

“อื้อ…”

เฟเรสดูจะลำบากใจกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่น้อย

คงเป็นเพราะเขาไม่เคยได้พบชนชั้นสูงคนไหนที่แสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างเปิดเผยแบบนี้มาก่อน

สำหรับเธอที่ยังคงจดจำภาพของเฟเรสที่ทำให้ชนชั้นสูงทั่วอาณาจักร กลายเป็นพวกเดียวกับตัวเองในชีวิตก่อนแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]