“ฮู่ว…”
เฟเรสเดินออกมารับลมด้านนอกระเบียง เสียงถอนหายใจที่กักเก็บไว้เสียนานดังออกจากปาก
ถึงแม้เขาเองก็จงใจทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่พวกคุณหนูทั้งหลายที่เข้ามาขอเต้นรำด้วย หรือพวกชนชั้นสูงที่เอาแต่ชวนเขาคุยไม่หยุดพวกนั้น ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมากจริงๆ
เฟเรสยืนกอดอกพิงราวระเบียงด้านนอก
เพราะเจ้าของสายตาที่เอาแต่มองตามไล่หลังเขาจนน่ารำคาญได้เดินตามหลังเขาออกมาที่ระเบียงตรงมุมนี้ด้วยเสียแล้ว
“เลือกสหายได้ดี ดีสุดๆ เลยสินะ เจ้าน่ะ”
คนที่พูดจาเย้ยหยันเขาคืออาสทาน่าที่มีใบหน้าแดงก่ำเพราะเมาเหล้า
เฟเรสมองเหยียดอาสทาน่าที่ทำตัวเช่นนั้นด้วยแววตาดูถูก
ทันใดนั้นอาสทาน่าก็โมโหตะโกนเสียงแข็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนลำคอ
“เจ้า! คนอย่างเจ้ากล้าดียังไงมองข้าด้วยนัยน์ตาเช่นนั้น”
และพยายามเอื้อมมือไปกระชากเฟเรส แต่กลับพลาดอย่างแรง
เรื่องที่ต่อให้สติเป็นปกติดียังทำไม่ได้ อาสทาน่าที่ตัวโงนเงนไปมาจากฤทธิ์เหล้ายิ่งไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
“อ๊ะ!”
อาสทาน่าเสียการทรงตัวจนเกือบจะร่วงตกจากราวระเบียง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความตกใจ
แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักได้ว่าเฟเรสกำลังมองตนอยู่ จึงชี้หน้าอีกฝ่าย ตะโกนเสียงดัง
“ตอนที่ยังสุขได้ก็สุขให้พอเถอะ! ต่อไปแม้แต่ฝันเจ้าก็ไม่อาจมีความสุขได้ ไอ้ชั้นต่ำ!”
คิ้วเข้มของเฟเรสกระตุก
ไม่ใช่เพราะคำว่า ‘ชั้นต่ำ’ ที่ดังกระแทกหู
คำพูดพวกนั้น ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรมันแล้ว
“ตอนที่ยังสุขได้ ก็สุขให้พองั้นหรือ”
ปฏิกิริยาของเฟเรสทำให้อาสทาน่ายิ่งรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับชัยชนะ
“ตอนนี้ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียยังเด็ก เจ้าถึงได้ใช้เหตุผลเรื่องที่เป็นสหาย แสร้งทำตัวสนิทสนมตามเกาะติดนางไปทั่วได้ แต่ถ้าหากอายุมากขึ้นละก็ มันคงจะยากแล้วละมั้ง”
“…”
เฟเรสไม่ตอบอะไร แต่อาสทาน่ากลับยิ้มหยันราวกับล่วงรู้ความคิดทุกอย่าง
“อย่างน้อยนางก็เป็นบุตรสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ถึงแม้จะมีสายเลือดชั้นต่ำของมารดาผสมอยู่ด้วยก็เถอะ”
พูดจาราวกับประเมินค่าสุนัขตัวหนึ่ง
“หากเป็นเงินทองของท่านชายแคลอฮันแล้วละก็ ต่อให้ใช้ฟุ่มเฟือยแค่ไหน ก็ยังมีเหลือให้ใช้มากโข ต่างจากเจ้าที่ต่อให้หายตัวไปตอนนี้ ก็ไม่มีใครตามหา”
ปากของเฟเรสเปิดออกราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็ปิดลงอีกครั้ง
เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูด
ต่อให้โมโหแค่ไหน แต่คำพูดที่อาสทาน่าพูดเสียดสีเขาพวกนั้น ทั้งหมดเป็นความจริง
มันเป็นความกังวลอย่างหนึ่งที่เฟเรสเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในหัวสมองอยู่เรื่อย ตั้งแต่วันที่รูลลัก ลอมบาร์เดียแวะมาหาเขาที่วังโฟอิรัคเมื่อวันก่อน
“เจ้าไม่คู่ควรที่จะยืนข้างกายฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียหรอก”
กรอด
สุดท้ายเฟเรสก็ได้แต่กัดฟันแน่น
“ถ้าเป็นข้าก็อีกเรื่อง”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสจ้องอาสทาน่าเขม็งราวกับจะแผดเผาให้ตาย
และเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าว
“อะ อะไรกัน”
ในตอนนั้นเองอาสทาน่าที่เอาแต่พูดจาเย้ยหยันเฟเรส ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ถึงความจริงที่ว่า เฟเรสเป็นคนมีความสามารถมากขนาดดึงออร่าออกมาใช้ได้ จึงรีบก้าวเท้าถอยไปข้างหลังทันที
จนกระทั่งสุดท้ายอาสทาน่าถูกผลักจนขาไปชิดติดกับราวระเบียง เฟเรสถึงได้พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผิดแล้ว”
“อะ อะไร”
“ข้าบอกว่าผิดแล้ว”
และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟเรสก็คิดคำพูดที่เหมาะสมออก
“ไอ้คนนิสัยเหมือนเบเลซัก”
มันเป็นคำด่ารุนแรงที่เทียชอบใช้เป็นประจำ
“อะ ไอ้ชั้นต่ำ นี่เจ้าว่าอะไรนะ”
เฟเรสหลุบตามองขาที่สั่นระริกของอาสทาน่าเป็นการเยาะเย้ย แล้วจึงค่อยหันหลังหมุนตัวกลับ
“เจ้าต่างหากล่ะ เวลาที่ยังสุขได้ ก็สุขให้พอ”
เฟเรสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโถงงานเลี้ยงอีกครั้ง
* * *
“หมอนั่นไปไหนเนี่ย คงไม่ใช่ว่ากลับไปแล้วหรอกนะ”
หลังจากพร่ำปลอบท่านพ่อกับท่านปู่เสร็จ เธอก็เดินตามหาเฟเรสทั่วงาน แต่กลับไม่เห็นเขาแม้แต่ปลายจมูก
กำลังหันไปมองรอบๆ แต่แล้วสายตาก็พบเข้ากับเด็กผู้ชายวัยประมาณสิบกลางๆ เจ้าของผิวที่คล้ำเล็กน้อย กับเรือนผมสีบลอนด์แพลทินัมเข้า
“ขออภัยครับพอดีไม่ค่อยอยากเต้นรำเท่าไหร่น่ะครับ”
มันเป็นวิธีการพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ถือว่าค่อนข้างหยาบคายอยู่มาก เมื่อเทียบกับธรรมเนียมประเพณีมารยาทแบบเมืองหลวง
“ตะ ตายแล้ว! พูดจาไร้มารยาทเช่นนั้นได้ยังไง…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...