เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

“อ๊ะ ท่านพ่อ!”

ในตอนนั้นเอง อาบีน็อกซ์ก็ตะโกนเรียกใครบางคนที่กำลังจะเดินผ่านไปอยู่แถวนั้น

“อ๊ะ! ท่านฟีเรนเทีย!”

แต่คนที่ตอบกลับมากลับเป็นทิลเลียน่าที่โผล่หน้าออกมาจากหลังของผู้ชายคนนั้นแทน

ทิลเลียน่ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าดีใจ ก่อนจะแนะนำเธอให้คนกลุ่มหนึ่งที่พากันเดินตามหลังนางมาได้รู้จัก

“ท่านนี้คือคุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ!”

ช่างเป็นกลุ่มคนที่แต่งตัวได้อย่างหรูหราเสียจริง

คนกลุ่มนี้มีสีผิวค่อนข้างคล้ำไปทางสีแทน พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส

ชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าที่ตัวสูงที่สุดในคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้เธอ ก่อนจะกล่าวทักทาย

“สวัสดี คุณหนูลอมบาร์เดีย ข้าเจ้าตระกูลรูมัน อินดีท รูมัน”

ถึงแม้บริเวณสันกรามจะมีรอยแผลเป็นลากยาว แต่ใบหน้าที่ส่งยิ้มราบเรียบมาให้นั่น เหมือนกับอาบีน็อกซ์ราวกับถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกัน

“ได้ยินว่าช่วยดูแลทิลเลียน่า หลานสาวของข้าให้เป็นอย่างดี เลยอยากมาทักทายเพื่อขอบคุณด้วยตัวเองน่ะ”

“อา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ…”

พอเห็นเธอพยักหน้า อินดีท รูมันกลับกลายเป็นฝ่ายเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“หืม? ไม่ตกใจหรือที่นางใช้ชื่อตระกูลต่างจากข้า แต่ที่จริงแล้วเป็นหลานสาวของข้าน่ะ”

“เปล่าค่ะ ตกใจมากเลยค่ะ”

“ท่านฟีเรนเทียเป็นคนที่มีนิสัยใจเย็นมากน่ะค่ะ! ”

ทิลเลียน่าเอ่ยแทรกขึ้นจากด้านข้าง

อันที่จริงตั้งแต่ได้ยินชื่อทิลเลียน่าคิทอเวล เธอก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าที่จริงแล้วนางเป็นใคร

ทิวเคย์ รูมัน น้องชายของอินดีท รูมัน แต่งงานแล้วแยกตัวออกไป ในขณะเดียวกันก็ได้รับเขตแดนเล็กๆ เขตหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘คิทอเวล’

และจัดการเปลี่ยนชื่อสกุลของตัวเอง ตั้งเป็นตระกูลคิทอเวลขึ้นมา

เท่าที่ได้ยินมา สำหรับทางตะวันออกแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก

แต่พวกคุณหนูตัวน้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องราวทางตะวันออกดี ย่อมไม่มีทางรู้ความจริงที่ว่านี่กันอยู่แล้ว

“ได้ยินว่าทิลเลียน่าถูกเข้าใจผิดว่านางเป็นคนบ้านนอกจากตะวันออก และโดนคนกลั่นแกล้ง…”

“ทะ ท่านลุง! ”

ทิลเลียน่าสะดุ้งโหยง แต่เจ้าตระกูลรูมันเพียงแค่หัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์เท่านั้น

“ทั้งๆ ที่ไม่ทราบว่าทิลเลียน่าเป็นคนของตระกูลรูมัน แต่คุณหนูลอมบาร์เดียก็ยังช่วยเหลือคนอ่อนแอกว่า ช่างเป็นคนที่มีจิตใจงดงามจริงๆ เลยนะ”

“ก็แค่ทำเรื่องที่สมควรทำเท่านั้นเองค่ะ ชมกันเกินไปแล้ว”

ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะทิลเลียน่ามีนิสัยเหมือนเครนีย์ เลยทำให้เธอไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่ด้วย

และคนที่เป็นฝ่ายชวนเธอคุยก่อน ก็คือทิลเลียน่าด้วยเหมือนกัน

“อา ว่าแล้วเชียว…”

เจ้าตระกูลรูมันมองเธอในขณะที่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ในตอนนั้นเองกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบๆ ก็แหวกออก ก่อนที่คนอีกกลุ่มจะเดินเข้ามาใกล้

“โอ้ เจ้าตระกูลรูมัน”

“ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

องค์จักรพรรดิโยบาเนส ท่านปู่ และด้านหลังพวกเขาก็ยังมีท่านพ่อกับเครย์ลีบันเดินตามหลังมาพร้อมกัน

พอกลุ่มคนที่ดูโดดเด่นสองกลุ่มมายืนรวมอยู่ที่เดียวกันแบบนี้ แน่นอนว่าสายตาของผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยง ต่างก็หันมามองทางนี้อย่างพร้อมเพรียง

“พวกเราอย่ามัวมาอยู่ตรงนี้เลย ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”

มันคือคำเชิญสู่ ‘ห้องด้านหลัง’ ที่มีเฉพาะคนจำนวนน้อยในงานเลี้ยงเท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปได้

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

เจ้าตระกูลรูมันพยักหน้าด้วยความดีใจ ในขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้คนในครอบครัวที่ยืนอยู่รอบๆ

ทันใดนั้นผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้เขามากที่สุดก็รีบเดินมาอยู่ข้างกายเจ้าตระกูลรูมัน

“ในเมื่อตอนนี้ก็ได้เปิดตัวสู่สังคมชั้นสูงแล้ว ตัวเอกของงานเลี้ยงเปิดตัววันนี้อย่างฟีเรนเทีย ก็ตามมาด้วยกันเถอะ”

น่ารำคาญชะมัด

แต่เพราะยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอจึงย่อเข่าลงเล็กน้อยแทนความหมายขอบคุณ

และสายตาของจักรพรรดิโยบาเนสก็มองไปยังเฟเรสที่ยืนอยู่ข้างกายเธอ

“เจ้าชายลำดับที่สองก็ด้วย”

พูดเพียงแค่นั้น

แต่หมายความว่าเฟเรสเองก็ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการเช่นกัน

พอพวกเขาเริ่มเดินมุ่งหน้าไปยังชั้นบนพร้อมกัน คนอื่นๆ ก็ถอยห่างไปข้างหลังกันคนละก้าวสองก้าว ช่วยหลีกทางให้

สายตาของผู้คนมากมายจับจ้องค้างอยู่ที่เฟเรสเป็นพิเศษ

เขาอาจจะเป็นเจ้าชายก็จริง แต่ที่ผ่านมาเฟเรสไม่เคยได้รับเกียรติเช่นนี้มาก่อนพอเห็นว่าเขาเองก็เดินมุ่งหน้าไปยังห้องด้านหลังพร้อมกับบุคคลสำคัญท่านอื่นรวมถึงจักรพรรดิ ทุกคนจึงตกใจเป็นอย่างมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]