เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

“แขก…หมายถึง”

คาอิลรัสที่ยืนฟังบทสนทนาของทั้งสองคนก็เอียงคอด้วยความงุนงงเช่นกัน แต่แล้วในตอนนั้นเอง

ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับอัศวินประจำวังโฟอิรัคที่แจ้งขึ้นมาว่ามีแขกมาเยือนวังแห่งนี้

คราวนี้ไม่ใช่นางกำนัล แต่เป็นคุณหญิงจากตระกูลชั้นสูงนางหนึ่ง

เฟเรสมองคุณหญิงนางนั้นที่เดินเชิดหน้าหยิ่งยโสเข้ามาหาเขาพลางครุ่นคิด

“เสียมารยาทอะไรแบบนี้กันคะ! ”

ท่าทางของคุณหญิงท่านนี้ที่ไม่แม้แต่จะถวายบังคมทักทายอย่างถูกต้อง ทำให้แคทเธอรีนตำหนิเสียงดัง

คุณหญิงท่านนี้ถึงได้ค่อยพ่นลมหายใจเสียงดังหึทางจมูกด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ยังยอมย่อเข่าถวายบังคมอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

เฟเรสพยักหน้ารับการคำนับโดยไม่ตอบอะไร

ท่าทางดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาของคุณหญิงท่านนี้ถึงได้สั่นกระตุก

“นำสารจากองค์จักรพรรดินีมาให้เพคะ พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าที่วังจักรพรรดินีตอนนี้เลย ไปพร้อมกันกับหม่อมฉันเพคะ”

ทำตัวราวกับตัวเองเป็นจักรพรรดินีเสียเองท่วงท่าดูเย่อหยิ่งไม่มีใครเทียม

เฟเรสใช้ผ้าเช็ดปากอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะพูดขึ้น

“ตอนนี้คงไปไม่ได้หรอก”

“…เพคะ”

คุณหญิงถามกลับ นางไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าตื่นตระหนกไว้ได้

“จักรพรรดินีสั่งให้เชิญตัวไปเดี๋ยวนี้…”

“พอดีข้าไม่สบายนิดหน่อย”

เฟเรสหลุบตาลงซุกซ่อนแววตาไว้ใต้แพขนตายาว

“แจ้งไปว่า ข้าป่วยจึงไม่อาจไปพบได้”

“ป่วยตรงไหนกัน…”

“ป่วย”

เฟเรสพูดแทรกตัดท้ายประโยคของคุณหญิงนางนี้

“ข้าป่วย จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก”

“เรื่องนั้น…”

คุณหญิงพูดอะไรไม่ออก

ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ ในเมื่อเจ้าชายของอาณาจักรปฏิเสธคำเชิญโดยบอกว่าป่วย นั่นย่อมหมายความว่านางไม่อาจใช้กำลังบีบบังคับอีกฝ่ายได้

“คาอิลรัส ส่งแขกด้วย”

เฟเรสเบือนหน้าหนีคุณหญิง เขาหันกลับแล้วลงมือรับประทานอาหารต่อทันที

หลังจากที่คาอิลรัสพาตัวคุณหญิงคนนั้นออกไป แคทเธอรีนก็เดินเข้ามาตรวจเช็กสีหน้าของเฟเรสเงียบๆ

นางอยากจะดูให้แน่ใจเผื่อว่าเฟเรสอาจจะป่วยจริงๆ ก็ได้

แต่เฟเรสกลับพูดกับนาง

“นั่นคงไม่ใช่แขกคนสุดท้ายของวันนี้ ยังไงก็ให้คนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเสียหน่อย น่าจะสะดวกกว่านะ”

และคำพูดประโยคนั้นก็ถูกต้องจริงๆ

ผ่านไปได้แค่หนึ่งชั่วโมง จักรพรรดินีก็ส่งคนมาใหม่

ตอนแรกก็ส่งตัวคุณหญิงคนสนิทมา หลังจากนั้นก็ส่งเจ้าหน้าที่ราชการจากตระกูลอังเกนัสมาอีก

แต่ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น เฟเรสก็พูดเหมือนเดิม แล้วส่งตัวพวกเขากลับไป

ข้าป่วย ถ้ามีเรื่องจะพูด ก็ให้จักรพรรดินีเสด็จมาเองก็แล้วกัน

บรรดาผู้ส่งสารเองก็ไม่คิดว่าเฟเรสจะใช้วิธีตรงๆ แบบนี้ ทุกคนต่างกลับไปด้วยความตื่นตระหนก

และสุดท้ายเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท

แคทเธอรีนวางซองหลากสีสันหลายขนาดลงตรงหน้าเฟเรสที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับรอง

“นี่คือบัตรเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงกับงานพบปะที่ถูกส่งมาหาเจ้าชายตลอดวันเพคะ”

“วันนี้วันเดียว…?”

เฟเรสมองซองจดหมายปึกหนาที่หนาเสียจนเขาไม่อาจถือไว้ได้ทั้งหมดในมือเดียว

แม้จะคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว แต่กระแสตอบรับช่างร้อนแรงจริงๆ

เขาจงใจเดินไปทั่วงานเลี้ยง ปฏิบัติตัวต่อพวกขุนนางชั้นสูงทั้งหลายที่เข้ามาชวนคุยด้วยอย่างเหมาะสม ให้ผู้คนได้เห็นหน้าค่าตาเขาบ้าง

ในตอนนั้นเอง

“ดะ เดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนั้น…! ”

ได้ยินเสียงคาอิลรัสตะโกนด้วยความตกใจ

และถัดจากเสียงโหวกเหวกสั้นๆ นั่น ประตูห้องรับรองก็เปิดออกพรวด

“…มาแล้วสินะ แขก”

เฟเรสพึมพำในขณะที่มองแขกผู้ไร้มารยาทที่เขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งวัน

“เจ้าชายลำดับที่สอง”

คนที่จับลูกบิดประตูท่าทางร้อนใจเป็นอย่างมากขนาดเดินทางมาด้วยตัวเองคนนี้ก็คือจักรพรรดินีราวีนี่นั่นเอง

จักรพรรดินีสาวเท้ายาวก้าวพรวดๆ เดินเข้ามาด้านใน นางส่งยิ้มเหมือนสวมหน้ากากให้ แต่นัยน์ตาที่มองเฟเรสกลับเย็นชาเป็นอย่างมาก

“ได้ยินว่าไม่ค่อยสบาย”

และมองสำรวจเฟเรสในทันที

สายตาของจักรพรรดินีกวาดมองกองบัตรเชิญที่เขาถือไว้ในมืออย่างรวดเร็ว

“คาอิลรัส แคทเธอรีน ออกไปก่อนสักครู่เถอะ แบบนั้นน่าจะสนทนาจบลงได้เร็วหน่อย”

ทั้งสองคนชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำสั่งของเฟเรส แต่เพียงไม่นานก็ยอมออกไปข้างนอก ก่อนจะปิดประตูห้องรับรองให้

ตอนนี้ภายในห้องจึงเหลือเพียงเฟเรสกับจักรพรรดินีแค่สองคน

สถานการณ์เหมือนกับเมื่อคราวก่อนที่เขาสนทนากับนางในเรือนกระจก

“ทำไมไม่ตอบรับคำเชิญของข้าล่ะคะ เจ้าชาย”

“ก็อย่างที่แจ้งไป ข้าไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ อีกอย่างก็ค่อนข้างยุ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสพูดขึ้น เขาจงใจชี้ไปยังกองบัตรเชิญขนาดย่อม

มุมปากของจักรพรรดินีกระตุกในทันที

“…เจ้าชายที่ใกล้จะต้องไปอะคาเดมีแล้ว มองบัตรเชิญพวกนี้ไปจะทำอะไรได้ล่ะคะ”

“ข้าแจ้งไปหลายครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าไม่คิดที่จะไปอะคาเดมีอีกอย่างมีคนอยากพบข้ามากขนาดนี้ เลยยิ่งไม่มีใจอยากไปมากเข้าไปใหญ่เลยพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสหยุดพูดไปครู่หนึ่ง

และพูดกระตุ้นเพิ่มอีกเสียหน่อย

“และเมื่อวานก็ได้ใช้เวลาอันแสนมีความหมายร่วมกับฝ่าบาท ทำให้ข้าเริ่มแน่ใจว่า สถานที่ที่ข้าควรอยู่ไม่ใช่อะคาเดมีแต่เป็นเมืองหลวงต่างหาก จะทำไงได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดินีกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วที่สวมแหวนวงหนากลายเป็นสีขาวซีด

มุมปากของเฟเรสกระตุกยิ้มเมื่อได้เห็นท่าทางโกรธแค้นของจักรพรรดินี

ทั้งหมดนี่คือผลลัพธ์ที่ได้จากการไตร่ตรองครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน หลังจากที่รูลลัก ลอมบาร์เดียมาเยือนวังโฟอิรัค

สิ่งที่จักรพรรดินีต้องการคือให้อาสทาน่าขึ้นครองบัลลังก์

แต่ถ้าหากต้องการเช่นนั้น เฟเรสก็เป็นอุปสรรคใหญ่ชิ้นเดียวที่ขวางเส้นทางนั้นเอาไว้

และสิ่งที่พวกนั้นหวาดกลัวมากที่สุดก็คือ การที่เขายังคงดำรงตำแหน่งในฐานะเจ้าชายลำดับที่สองเอาไว้ได้

เพราะฉะนั้นในงานเปิดตัวเขาจึงได้จงใจพูดคุยกับพวกขุนนาง พูดจาเหมือนมีความสนใจที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง หรืองานพบปะต่างๆ ในแวดวงสังคม

การที่สุดท้ายเขาได้รับเชิญจากองค์จักรพรรดิให้ขึ้นไปร่วมสนทนาในห้องด้านหลังนั่น ถือเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้จริงๆ

ตลอดงานเลี้ยง เฟเรสใช้สายตาของจักรพรรดินีที่เอาแต่ลอบสังเกตตนให้เป็นประโยชน์

และก็ตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดวันต่อมาจักรพรรดินีก็ส่งคนมาพบเขาด้วยความกระวนกระวายใจในทันที

“…บอกสิ่งที่ต้องการมา”

จักรพรรดินีราวีนี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

“เจ้าต้องการอะไร”

“หมื่นเหรียญทอง”

“…เงิน?”

หมื่นเหรียญทองเป็นเงินจำนวนมากมหาศาล

แม้แต่ตระกูลอังเกนัสเองก็ตาม หากจะจัดหาเงินจำนวนมากขนาดนั้น พวกเขายังต้องขายเขตแดนทิ้งหลายเขตทีเดียว

แต่ถ้าหากเงินจำนวนนั้นทำให้นางสามารถส่งตัวเฟเรสไปยังอะคาเดมีได้แล้วละก็ อาสทาน่าก็จะไม่มีอุปสรรคอะไรขวางกั้นอีก

เจ้าชายลำดับที่สองที่แสนจะโง่เง่านี่ พูดเช่นนี้ก็เหมือนกับบอกว่าจะยอมแพ้ในอำนาจทุกอย่าง เพียงเพื่อเงินจำนวนหมื่นเหรียญทอง

จักรพรรดินีหรี่ตาจ้องเฟเรสเขม็ง ก่อนจะพ่นลมหายใจเสียงดังหึ

“สิ่งที่ต้องการมีแค่เงินเท่านั้นหรือ สมแล้วที่มีสายเลือดชั้นต่ำ”

จักรพรรดินีมองเฟเรสด้วยสายตาดูถูก แต่เฟเรสยังคงยืนยันหนักแน่น

หากเขาต้องการที่จะเดินไปบนหนทางที่ตนเองวางแผนเอาไว้ เขาจำเป็นต้องใช้เงิน

แต่นอกจากเบี้ยเลี้ยงที่เฟเรสได้รับเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว เขาไม่มีตระกูลฝั่งมารดาที่จะคอยช่วยสนับสนุนให้เขาสร้างอำนาจได้

“ได้ ข้าจะให้”

น้ำเสียงราวกับทำทานบริจาคสงเคราะห์ขอทานคนหนึ่ง

“แต่ห้ามเจ้าชายกลับมายังพระราชวังจนกว่าจะเรียนจบ”

“…ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ถึงยังไงมันก็เป็นหนทางที่ขรุขระอยู่แล้ว

หกปีในอะคาเดมีอาจจะกลายเป็นโอกาสสำหรับอาสทาน่าก็จริง แต่มันก็เป็นโอกาสสำหรับเฟเรสด้วยเช่นกัน

เขาไม่คิดจะใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียนไปอย่างไร้ประโยชน์อยู่แล้ว

และจักรพรรดินีเองก็กล่าวชัดเจนเช่นนั้นเหมือนกัน

‘จนกว่าจะเรียนจบ’

อะคาเดมีอาจจะมี 6 ปีการศึกษาก็จริง แต่มันมีระบบจบการศึกษาล่วงหน้าเพื่อนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมอยู่ด้วย

เมื่อได้รับคำยืนยันจากเฟเรส จักรพรรดินีก็ลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีคล้ายกับไม่มีธุระอะไรให้ต้องพูดมากความอีก

เฟเรสพูดขึ้นตามหลังจักรพรรดินีที่หมุนตัวเดินจากไป

“ข้าจะไม่ออกเดินทางจนกว่าจะได้รับเงิน เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะขับไสไล่ส่งข้าไปไวๆ ก็คงต้องรีบหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”

ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีคงจะต้องไปเรี่ยไรขอยืมเงินจากชนชั้นสูงที่พอจะสนิทสนมด้วยหลายคนหน่อยเสียแล้ว นางจ้องเฟเรสเขม็งเป็นการทิ้งท้าย แล้วเดินออกไปจากวังโฟอิรัค

แคทเธอรีนกับคาอิลรัสรีบเดินเข้ามาหา แต่เฟเรสเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีพระจันทร์และดวงดาวส่องสว่างอยู่บนนั้นเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

* * *

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]