เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

หลังจากนั้นพวกเราก็แวะไปที่ภัตตาคารซึ่งได้ชื่อว่า ‘มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมที่สุดในเมืองหลวง’ จนกระทั่งถึงยามที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงดิน ถึงค่อยเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย

ภายในรถม้าเงียบสงัด เธอเปิดหน้าต่างรถม้า ดื่มด่ำกับสายลมเย็นที่พัดผ่านเหมือนกับเมื่อตอนขามา

แต่เพราะกิ๊บติดผมที่เฟเรสมอบให้เป็นของขวัญ รอบนี้เธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าผมจะยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอีก

“เทีย”

เธอหันหน้าไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเฟเรส

“พร้อมที่จะพูดแล้วเหรอ”

“…อื้อ”

เฟเรสสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดต่อ

“ข้าจะไปอะคาเดมี”

และความเงียบสงัดก็ไหลเวียนไปทั่วภายในรถม้า

ไม่รู้ทำไมใบหน้าของเฟเรสถึงได้มีแต่ความเครียดแฝงอยู่

“เหรอ ตัดสินใจแบบนั้นสินะ”

เธอเองก็พอจะคาดการณ์เอาไว้แล้วเหมือนกัน

เพราะปีการศึกษาใหม่ของอะคาเดมีใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วนี่นะ

“เฟเรส เจ้าไปเพราะตัวเจ้าเป็นคนต้องการเองใช่มั้ย”

“อื้อ”

คำถามของเธอทำให้เฟเรสตอบเสียงแผ่ว ทั้งๆ ที่ยังปิดปากแน่น

เมื่อชีวิตก่อนก็เหมือนกัน เฟเรสเดินทางไปยังอะคาเดมีในตอนที่เขาอายุได้ 15 ปี

หากจะมีความแตกต่างระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้แล้วละก็ คงมีเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

ในชีวิตก่อนฝ่าบาทโดนจักรพรรดินีล่อลวง ทำให้พระองค์มีรับสั่งบีบบังคับผลักไสเฟเรสไปยังอะคาเดมี

“ดีแล้วละไปแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนให้มาก แล้วกลับมานะเฟเรส”

“…ข้ามีเรื่องอยากถามเทีย”

“อะไรเหรอ”

“ในความคิดของเทีย การไปอะคาเดมีมันเป็นเรื่องดีต่อข้าเหรอ”

“ใช่แล้วละ”

“ทำไม”

เพราะที่นั่นเจ้าจะได้เจอกับคนฝ่ายตัวเองยังไงล่ะ

ผู้คนที่จะช่วยให้เจ้ากลายเป็นองค์รัชทายาท คนที่จะช่วยผลักดันเจ้าให้เป็นจักรพรรดิ

“เพราะจะได้เรียนรู้อะไรมากมายไง”

“แล้วทำไมไม่เกลี้ยกล่อมข้าล่ะก็สามารถบอกข้าได้ไม่ใช่เหรอว่าต้องไปอะคาเดมีเพราะมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับข้า”

“เรื่องนั้น…”

เธอหยุดคิดเลือกคำพูดที่จะใช้อยู่ครู่หนึ่ง

และพูดขึ้น

“ก็เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่เจ้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเองนี่นา”

เฟเรสต้องเจอกับเรื่องต่างๆ มากมายตั้งแต่ยังเล็ก

แต่ก็ยังไม่หนักหนาเท่าเฟเรสในชีวิตก่อน

เขาในตอนนั้นเป็นคนที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาทอยู่ในตัว

และเพราะจิตอาฆาตนั่น มันจึงช่วยทำให้เฟเรสเอาชนะทุกสิ่งได้ และได้กลายเป็นองค์รัชทายาทในที่สุด

แต่เฟเรสตรงหน้าเธอในตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ในสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้เธอผลักดันเขาให้ไปอะคาเดมีบางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่เหมือนกับในชีวิตก่อนก็ได้

เพราะคนของเฟเรสแต่ละคน พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ได้รับบาดแผลมามากมายเหมือนกับเฟเรส เป็นคนที่ต้องการจะแก้แค้นโลกใบนี้กันทั้งนั้นยังไงล่ะ

พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ถูกชักจูงให้เข้าร่วมด้วยเพราะความอาฆาตของเฟเรส

ถ้าต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ในอะคาเดมีแล้วละก็ เผลอๆ สู้ไม่ไปยังจะดีกว่า

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่เกลี้ยกล่อมให้เฟเรสยอมไปอะคาเดมี

“เรื่องที่ข้าต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง…”

เฟเรสทบทวนคำพูดของเธอ

“เทีย ที่เจ้าพูดถูกต้องแล้ว”

รอยยิ้มจางค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฟเรส

“เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ข้าสมควรตัดสินใจเอง มันเป็นหนทางที่ข้าต้องเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”

ใบหน้าของเฟเรสยามกล่าวเช่นนั้น ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อครู่นี้มาก

“หลังจากลองครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ข้าถึงได้เข้าใจเหตุผลที่ข้าต้องไปยังอะคาเดมี”

นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมองใบหน้าของเธอ

แต่นัยน์ตากระจ่างใสดูลึกซึ้งคู่นั้นดูจริงจังมากเสียจนไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ

ไม่นานหลังจากนั้น รถม้าก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียในที่สุด

ถึงจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ แต่เฟเรสก็ยังดึงดันที่จะเป็นฝ่ายลงจากรถม้าก่อนเพื่อช่วยประคองเธอลงจากรถม้า

ก่อนจะกล่าวอำลากันเป็นครั้งสุดท้าย เธอถามเฟเรส

“แล้วจะเดินทางไปอะคาเดมีเมื่อไหร่ล่ะ”

เฟเรสหยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบ

“…ยังไม่แน่ใจ”

“ถ้าตัดสินใจแล้วก็ติดต่อมาด้วยนะ ข้าจะไปส่ง”

“เข้าใจแล้ว”

หลังจากเดินเข้ามายังปีกคฤหาสน์ เธอก็หันหลังกลับไปมองนอกหน้าต่าง มองออกไปเห็นภาพรถม้าของเฟเรสค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ

* * *

ยามรุ่งสาง พระอาทิตย์ยังคงไม่ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า

ภายในห้องอันแสนมืดมิด เฟเรสกำลังผูกเชือกผ้าคลุมอยู่ตามลำพัง ก่อนที่แคทเธอรีนจะเดินเข้ามาหลังจากจัดการเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางไกลเป็นที่เรียบร้อย นางเอ่ยแจ้งกับเฟเรส

“เจ้าชาย ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วเพคะ”

“อืม เดี๋ยวข้าออกไป”

“แล้วก็หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าแจ้งมาว่า อยากจะขอเข้าพบเจ้าชายสักครู่…”

“หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้า?”

เฟเรสเอียงคอด้วยความสงสัย เขาเอ่ยปากอนุญาตให้หัวหน้านางกำนัลเข้ามาได้

ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าก็ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเอง เดินเข้ามาในห้องนอนของเจ้าชาย

ราวกับถูกความหนาวเหน็บของยามรุ่งสางเล่นงานเข้า สีหน้าของหัวหน้านางกำนัลดูไม่ดีเอาเสียเลย

“ทราบจากฝ่าบาทเมื่อคืนนี้ว่าเจ้าชายจะออกเดินทางไกลไปยังอะคาเดมีก็เลยมาเข้าเฝ้าอย่างเสียมารยาทเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”

“มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“มีของสิ่งหนึ่งอยากมอบให้เจ้าชายเพคะ”

หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากล่าวเช่นนั้น ก่อนจะส่งกล่องใบยาวกล่องหนึ่งให้

เฟเรสลองเปิดกล่องที่ค่อนข้างเบาเป็นอย่างมากนั่นออก เขาพึมพำด้วยความงุนงง

“…ถุงมือ?”

ถุงมือหนังสีดำมองจากภายนอกก็รู้ได้ว่ามันเป็นของชั้นดี

“ลองสอบถามจากพวกอัศวินประจำพระราชวังดูน่ะเพคะ เห็นว่าพระองค์ยังไม่มีถุงมือที่ดีพอสำหรับใช้ในการฝึกซ้อม”

“อา…”

“อะคาเดมีตั้งอยู่แถบชนบทท่ามกลางภูเขา ฤดูหนาวก็หนาวมากต่างจากเมืองหลวง มันเป็นเขตพื้นที่ที่มักจะมีหิมะตกลงมาหนักทีเดียวเพคะ”

เฟเรสละสายตาออกจากถุงมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้านางกำนัล

ใบหน้าของหญิงชรายังคงดูเข้มงวดเหมือนทุกครา แต่บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงในตัวเฟเรส ผู้ซึ่งต้องเดินทางจากไปยังอะคาเดมีด้วยวัยที่ยังเยาว์เป็นอย่างมาก

“ขอบคุณ…ครับ”

เฟเรสกระแอมไอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“เพิ่งทราบความจริงที่ข้าจะเดินทางไปอะคาเดมีเมื่อวานนี้ แล้วทำไมถึง…”

หัวหน้านางกำนัลตอบด้วยความขมขื่น

“คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วเพคะ ว่าอย่างไรสักวันหนึ่งพระองค์ก็คงจะจากไปยังอะคาเดมีและก็…”

หัวหน้านางกำนัลลังเล

ไม่สมกับเป็นอิมพีกร้าเลยแม้แต่น้อย

“ท่านเคลล่าผู้เป็นมารดาของเจ้าชาย…นางเข้าวังมาในฐานะข้ารับใช้ก็จริง แต่พื้นฐานนิสัยของนางเป็นคนฉลาดเฉลียว ซื่อสัตย์ เป็นคนที่หม่อมฉันเลื่อนขั้นให้เป็นนางกำนัล ทั้งยังคอยอบรมสั่งสอนด้วยตัวเองอีกด้วยเพคะ”

ความจริงที่เพิ่งเคยได้รับรู้เป็นครั้งแรกทำให้เฟเรสต้องเบิกตากว้าง

แต่ใบหน้าของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากลับเคร่งเครียดขึ้น

“หากนางเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้แล้วละก็ คงไม่เป็นที่ต้องตาของฝ่าบาท ถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็คงไม่ต้องจากไปแบบนั้น…”

พอนึกถึงใบหน้าใสซื่อของเคลลี่ที่มักจะหัวเราะอย่างร่าเริงด้วยความสดใสขึ้นมา หัวหน้านางกำนัลก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีหินหนักๆ ก้อนหนึ่งหล่นลงมากดทับบนหน้าอก

ตอนทราบข่าวว่าเคลล่าป่วย นางก็พยายามหาทุกวิถีทางส่งตัวแพทย์ไปยังวังเล็กแล้วก็จริง แต่วังจักรพรรดินีไม่ใช่พื้นที่ที่อำนาจของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจะเอื้อมไปถึงได้

อีกทั้งสุดท้ายนางเองก็ยังถูกจักรพรรดินีสั่งคุมขังเอาไว้ในห้องถึงหนึ่งสัปดาห์

พอจักรพรรดิโยบาเนสได้ทราบข่าวเข้า นางถึงได้ถูกปล่อยตัวออกมา แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

เคลล่าเสียชีวิตลง หัวหน้านางกำนัลทราบข่าวเพียงแค่ว่า เฟเรสได้จากพระราชวังไปพร้อมกับแม่นมในกลางดึกคืนหนึ่งเท่านั้น นางถึงได้แต่เฝ้ารอมาโดยตลอด

หนี้ที่ติดค้างในตอนนั้น และหนี้ที่สร้างขึ้นใหม่จากบาปที่นางไม่เคยรู้เลยว่าเฟเรสยังคงอาศัยอยู่ในวังจักรพรรดินีเช่นนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]