เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

คฤหาสน์ลอมบาร์เดียตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน

เพราะเจ้าตระกูลรูลลัก ลอมบาร์เดียล้มหมดสติไป

แถมเรื่องที่เกิดขึ้นก็ดันเกิดขึ้นบนบันได ทำให้บรรดาลูกจ้างต่างกระวนกระวายใจด้วยสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่หรือเปล่า

ณ ห้องนอนของเจ้าตระกูล

ผู้คนมากมายยืนรวมกันอยู่หน้าห้อง รวมถึงเหล่าอัศวินที่คอยเฝ้าอารักขาอยู่หน้าประตูด้วย พวกเขากำลังรอให้แพทย์ออกมาแจ้งข่าว โดยหวังว่ามันจะเป็นข่าวดีไม่ใช่ข่าวร้าย

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดังลั่นมาจากข้างในห้อง

“โอ๊ย ช่างเถอะ! ไม่ใช่ข้า ต้องไปตรวจเทียก่อนไม่ใช่หรือไง!”

รูลลักนั่งพิงหัวเตียง เขาตะโกนเสียงดังด้วยความโมโห

“ดูเลือดนั่นสิ! ต้องดูแลเด็กก่อนข้าที่เป็นปกติดีไม่ใช่หรือ! ข้าเพียงแค่สะดุดเท่านั้นเอง!”

เอสทีร่ายืนอยู่ข้างเตียงนอนของรูลลัก นางพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น

“ท่านฟีเรนเทียมีคุณโอเลียช่วยรักษาให้อยู่…”

โอเลียคือลูกศิษย์ที่เอสทีร่าพาตัวมาจากอะคาเดมีหรืออีกแง่หนึ่งก็คือเป็นเพื่อนร่วมงานของนางนั่นเอง

“เจ้าเก่งกว่าไม่ใช่หรือ! ข้าปกติดี เจ้าไปดูเทียเถอะ ดอกเตอร์เอสทีร่า!”

ชานาเนสส่ายหน้าให้กับพฤติกรรมดื้อรั้นของรูลลัก แต่นางเองก็มองเทียด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน

ตอนที่พบตัว เด็กน้อยถูกร่างกายของรูลลักล้มทับอยู่ด้านบน เทียคงจะใช้ร่างกายเล็กๆ นั่นรองรับแรงกระแทกเอาไว้ทั้งหมด ไหล่ถึงได้หลุดออกจากข้อต่อ ผิวเนื้อที่แขนก็ฉีกขาดจนเดรสถูกย้อมด้วยเลือดกลายเป็นสีแดงเลยทีเดียว

แต่ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพนั้น เทียก็ยังเอาแต่ตะโกนเสียงดังว่า ท่านปู่หมดสติไป

ในตอนนั้นเอง เบเจอร์ที่ยืนกอดอกอยู่นิ่งๆ ก็พูดโต้ตอบกลับไป

“ท่านปู่เป็นเจ้าตระกูลย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว เด็กแบบนั้นจะไปสำคัญอะไรครับ! เลิกดื้อรั้นแล้วรีบๆ …”

“เบเจอร์!”

รูลลักตวาดเสียงดังลั่น

โมโหรุนแรงมากเสียจนต้องเป็นห่วงว่าจะหมดสติไปอีกรอบหรือเปล่า

แต่แล้วในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงเล็กแผ่วเบา แต่กลับสงบนิ่งดังแทรกขึ้น

“ไม่หรอกค่ะ พูดถูกต้องแล้วค่ะ”

เจ้าของเสียงคือเทียที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามเตียงนั่นเอง

ไม่แม้แต่จะหันไปมองโอเลียที่ช่วยตรวจไหล่ที่บาดเจ็บให้ เทียนั่งยืดหลังตรงอย่างสง่างาม

“ท่านปู่ไม่ได้แค่สะดุดเฉยๆ ค่ะ ข้าเห็น อาจจะแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่ท่านปู่หมดสติจนล้มไปค่ะ”

“อะแฮ่ม…”

รูลลักกระแอมไอด้วยสีหน้าเหมือนคนถูกแทงใจดำ

“เพราะฉะนั้นเอสทีร่า ช่วยรีบตรวจท่านปู่ให้ทีนะ”

* * *

ในระหว่างที่เอสทีร่าใช้อุปกรณ์การแพทย์ที่หอบหิ้วมาพร้อมกระเป๋าพยาบาล ช่วยตรวจท่านปู่ให้อย่างละเอียด ไหล่ของเธอก็ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นเสร็จเรียบร้อย

ที่เหลือต้องรอย้ายไปที่คลินิกก่อน เพราะต้องฉีดยาชาก่อนถึงจะเย็บบริเวณผิวเนื้อที่ฉีกขาดได้

และในที่สุดเอสทีร่าก็เปิดปากพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“รายละเอียดคงจะต้องใช้เวลาตรวจเช็กมากกว่านี้ถึงจะทราบ แต่ดูเหมือนที่คุณหนูฟีเรนเทียว่ามาจะถูกต้องแล้วละค่ะ มันไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา”

ว่าแล้วเชียว

ลางสังหรณ์ร้ายไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง

ในชีวิตก่อนก็เหมือนกัน ท่านปู่เริ่มมีสุขภาพแย่ลงในช่วงเวลาประมาณนี้

ท่านปู่ถูกพบว่าล้มหมดสติอยู่ในห้องในตอนเช้า ท่านไม่ได้สติเลยตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นก็ต้องนอนติดเตียงคนไข้อีกหลายเดือน

โล่งอกที่ครั้งนี้สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเมื่อตอนนั้น แต่ถึงยังไงก็ยังเกิดเรื่องคล้ายคลึงกันขึ้นอยู่ดี

“ในฐานะแพทย์ประจำตระกูลลอมบาร์เดีย ข้าแนะนำให้ท่านเจ้าตระกูลรักษาตัวสักประมาณหนึ่งเดือน จะได้รับการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงขึ้นค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ห้ามทำงานด้วยอย่างนั้นหรือ”

ท่านปู่ตั้งคำถามเมื่อได้ยินคำสั่งของเอสทีร่า

“…ถ้าจะฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย จำเป็นต้องพักผ่อนให้มากค่ะ”

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

“แต่ท่านเจ้าตระกูล…”

“ถ้าอย่างนั้นตระกูลนี้ล่ะ ระหว่างนั้นใครจะดูแลลอมบาร์เดีย”

ไม่มีใครตอบอะไรออกมาทั้งสิ้น

เพราะไม่มีใครสามารถเข้ามาแทนที่ท่านปู่ได้ในทันที

ในหัวสมองของเธอเองก็นึกถึงชื่อของบรรดาเจ้าตระกูลอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้ตระกูลลอมบาร์เดีย แต่เพียงไม่นานก็ปัดมันทิ้งไป

คนพวกนั้นต่างก็มีงานที่ต้องจัดการเยอะมากพอสมกับตำแหน่งของตัวเองกันอยู่แล้ว

ในตอนนั้นเอง

“ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่หรือครับ”

เบเจอร์ก็ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เตียงหนึ่งก้าว เสนอตัวขึ้น

“ข้าจะเป็นผู้นำลอมบาร์เดียแทนท่านพ่อเองครับ ในระหว่างที่ท่านพ่อรับการรักษาน่ะครับ”

บิดาตัวเองป่วยอยู่แท้ๆ แต่ใบหน้าของเบเจอร์กลับดูสดใสเกินควรเสียได้

“ท่านพ่อ”

สุดท้ายชานาเนสก็ต้องรีบร้อนเอ่ยเรียกท่านปู่

คงอยากจะบอกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้

และนั่นก็เป็นความคิดเดียวกันกับความคิดของทุกคนในห้องนี้

กระทั่งสีหน้าของพ่อบ้านโยฮันยังเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเลยด้วยซ้ำ

“อะไรกันครับ ท่านพี่ จะบอกว่าข้าไม่เหมาะหรือยังไง”

เบเจอร์ถามด้วยความไม่พอใจ แต่ชานาเนสเพียงแค่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับท่านปู่โดยตรง

“สู้รับความช่วยเหลือจากตระกูลใต้บังคับบัญชาแทนจะดีกว่ามั้ยคะ ท่านพ่อ”

“ท่านพี่! ”

เบเจอร์ขึ้นเสียงตะโกนใส่ชานาเนสอย่างหาได้ยาก

“บุตรชายคนโตของตระกูลคือข้าครับ! ท่านพ่อหมดสติ แล้วถ้าข้าไม่เสนอตัวทำหน้าที่แทน จะให้ใครออกหน้าแทนอีกล่ะครับ!”

ต่อให้มีความสามารถไม่เพียงพอแค่ไหน แต่ถึงยังไงเบเจอร์ก็เป็นบุตรชายคนโตของลอมบาร์เดีย

แต่ถ้าจะอ่อนด้อยความสามารถ มันก็ควรจะมีลิมิตกันบ้างสิ

น่าเศร้าที่อีกฝ่ายคือเบเจอร์ผู้แสนจะทะเยอะทะยานไม่เจียมตัว

ท่ามกลางความเงียบที่ไหลเวียนไปทั่วห้องนอนอยู่ชั่วขณะ ทุกคนต่างก็เริ่มได้สติขึ้นมากันบ้าง

เธอเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าท่านปู่คงไม่คิดที่จะให้เบเจอร์เป็นรักษาการตำแหน่งเจ้าตระกูลหรอกมั้ง

แต่ในตอนนั้นเอง ท่านปู่ก็พูดขึ้นมาราวกับตัดสินใจได้แล้ว คำสั่งนั่นช่างเหมือนกับสายฟ้าแลบเสียจริง

“ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน เบเจอร์”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]