เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

“ท่านพ่อ! ”

“ท่านเจ้าตระกูล! ”

คำสั่งประกาศแจ้งอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้คนต่างตกใจเอ่ยเรียกท่านปู่กันอย่างพร้อมเพรียง

แต่ท่านปู่กลับไม่ตอบอะไร เพียงแค่มองเบเจอร์นิ่งๆ เท่านั้น

ราวกับคนที่เฝ้ารอว่าปฏิกิริยาตอบสนองจะตอบกลับมาเป็นแบบไหน

“ขอบคุณครับ ท่านพ่อ!”

เบเจอร์กำหมัดทั้งสองข้างแน่น เขาตอบกลับไปเสียงดังอย่างมีชีวิตชีวา

“ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง ให้สมกับที่ท่านพ่อไว้ใจข้าครับ!”

ท่านปู่มองเบเจอร์อยู่นิ่งๆ ด้วยนัยน์ตาไม่อาจทราบได้ว่าคิดอะไรอยู่ ก่อนจะเอ่ยเร่งเอสทีร่าแทน

“เอาละ ตอนนี้ข้าก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว รีบๆ ไปรักษาเทียเถอะ เทีย ทนอีกหน่อยนะ”

ท่านปู่มองเธอที่นั่งอยู่ไกลๆ ด้วยความเป็นห่วงในขณะที่พูดขึ้น และหลังจากนั้นก็พยายามจะลุกขึ้นจากเตียง เหมือนไม่พอใจที่จะต้องอยู่เฉยๆ บนนี้

“ไม่ได้การ ข้าคงต้องไปคลินิกด้วย…”

“อยู่ที่นี่เถอะค่ะ ท่านปู่ เดินไปแล้วเดี๋ยวล้มอีกจะทำยังไงล่ะคะ”

เธอส่ายหน้ายืนกรานหนักแน่น

“แต่ว่า…”

“ข้าน่ะ นอกจากไหล่แล้วก็ไม่มีตรงไหนเจ็บแล้วละค่ะ ยังเดินไหวอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”

เธอพูดแบบนั้น ในขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วให้ท่านได้เห็น

กลัวว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เดี๋ยวท่านปู่จะได้ตามเธอไปถึงคลินิกจริงๆ

อันที่จริงนอกจากไหล่กับแขนที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดแล้ว ทั้งบริเวณที่รองรับแรงกระแทกตอนที่ล้ม หรือแม้กระทั่งขา ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่รู้สึกเจ็บ

โอเลียช่วยห้ามเลือดและพันผ้าพันแผลให้อย่างดีแล้วก็จริง แต่ถึงยังไงก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบแทบร้าวไปทั้งตัวอยู่ดี

ถ้าหากท่านปู่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย เธอคงแสดงออกว่าเจ็บมาก กลิ้งไปบนพื้น เรียกร้องความน่าสงสารไปแล้ว รู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน

“ไปกันเถอะ เอสทีร่า”

เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของคนอื่นๆ ที่มองไล่ตามแผ่นหลังของเธอ ในยามที่เดินออกมาจากห้องนอนของท่านปู่

มีเสียงเท้าแผ่วเบาคู่หนึ่งเดินไล่ตามหลังเธอมา

“เทีย”

ชานาเนสนั่นเอง

ใบหน้านั้นดูซับซ้อนไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย แต่นางก็ยังคงส่งยิ้มให้เธอ

“ข้าจะไปคลินิกพร้อมกับเจ้าด้วย”

ยังไงตอนนี้ท่านพ่อก็ไม่อยู่ที่คฤหาสน์ เนื่องจากอยู่ในระหว่างเดินทางไปทำงานที่เมืองอื่น

ชานาเนสคงแค่ไม่อาจปล่อยเธอให้ไปตามลำพังได้ละมั้ง

เธอพยักหน้าตกลงอย่างเชื่อฟัง

โล่งอกที่จากห้องนอนของท่านปู่ไปจนถึงคลินิกไม่ได้ไกลมากนัก ระยะทางเพียงแค่เดินข้ามสวนเล็กๆ ไปก็ไปถึงแล้ว

แต่ในระหว่างที่เดินไป ชานาเนสก็ชวนเธอคุยไม่หยุด

“น่าจะเจ็บมากเลยแท้ๆ เทียเป็นผู้ใหญ่มากจริงๆ เลยนะ”

ปกติชานาเนสถือเป็นคนพูดน้อย ครั้งนี้ถือว่านางพูดเยอะจนหายใจแทบไม่ทันแล้วจริงๆ

“สองแฝดเองตอนอายุเท่าเจ้า ก็เคยหยอกล้อกันจนบาดเจ็บที่ข้อเท้า แต่เมโลนร้องไห้หนักมากเลยละ จำได้มั้ย เทีย”

“ค่ะ คิลลีวูก็สุมหัวกันร้องไห้ตามไปด้วย น่าปวดหัวมากเลยไม่ใช่เหรอคะเมื่อตอนนั้น”

“ใช่ ใช่แล้วละ”

บางทีชานาเนสคงจะคิดว่าเธอกำลังกังวลที่จะต้องถูกเย็บผิวเนื้อ

อันที่จริงก็กังวลอยู่หรอก

โลกใบนี้มียาชาแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างเหมือนวงการแพทย์ในปัจจุบัน

เธอเองก็เตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่จะยังตัวสั่นด้วยความกลัว

ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหนกัน

ทันทีที่มาถึงคลินิก พอเริ่มลงมือเย็บผิวเนื้อที่ฉีกขาด เธอแทบจะกรีดเสียงร้องอ๊ากออกมาอยู่แล้ว

“อึก!”

“อดทนหน่อยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”

เอสทีร่าลงมืออย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้ช่วยลดความเจ็บปวดของเธอให้น้อยลงได้มากที่สุด แต่ถึงยังไงมันก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี

เธอรู้ดีว่ามันก็แค่เนื้อฉีกปริเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรมากขนาดนั้น

แต่ความเจ็บปวดมันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ น้ำตาจึงหลั่งไหลหยดลงมาเสียงดังติ๋ง ติ๋ง ตามปฏิกิริยาของร่างกายโดยธรรมชาติ

ในตอนนั้นเอง

ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยจับมือของเธอที่กุมชายกระโปรงเอาไว้แน่นอย่างอ่อนโยน

“จับมือข้าไว้เถอะ”

ชานาเนส

เธอตกใจได้แต่เงยหน้าขึ้นเหม่อมองชานาเนส แต่ในจังหวะนั้นเข็มก็แทงเข้าสู่ผิวเนื้ออีกครั้ง

“อึก!”

เธอบีบมือข้างนั้นเอาไว้แน่น จนเล็บมือจิกเข้ากับมือของชานาเนสอย่างไม่รู้ตัวรู้สึกตกใจกับการกระทำของตัวเองจนรีบร้อนปล่อยมือของชานาเนสออกอย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เทีย”

แต่ชานาเนสกลับยิ่งกุมมือของเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิม ยืนกรานที่จะไม่ยอมปล่อยมือออกจากเธอ

“จับมือข้าเถอะ”

ชานาเนสพูด นัยน์ตาของนางเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นใจดี

“ขะ ขอบ…”

กระทั่งคำว่าขอบคุณยังพูดออกไปได้ยากเลย

สุดท้ายตลอดระยะเวลาที่เธอถูกเย็บเนื้อ เธอก็จับมือของชานาเนสเอาไว้แน่น จนสามารถอดทนผ่านขั้นตอนพวกนั้นได้สำเร็จ

“เสร็จแล้วค่ะ ท่านฟีเรนเทีย”

“ฮู่ว…ฮู่ว…”

คำพูดของเอสทีร่าช่วยให้เธอผ่อนคลายลมหายใจที่อดกลั้นพยายามไม่ส่งเสียงกรีดร้องออกมา นัยน์ตาที่เคยหลับแน่นก็ลืมตาขึ้นทันที

“ลำบากหน่อยนะคะ”

เอสทีร่าเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผาก

“อื้อ ลำบากเอสทีร่า…หน่อย…”

มือของชานาเนสข้างที่เธอจับเอาไว้เกิดเป็นรอยแผลมีเลือดไหลซิบ

และเลือดสีแดงสดนั่นก็เลอะเปรอะติดอยู่ในซอกเล็บของเธอ

เธอบีบมือของชานาเนสแรงเกินไป ทำให้เกิดรอยแผลบนหลังมือข้างนั้นจนได้

“ขอโทษค่ะ ข้าไม่รู้ตัวเลย”

เธอรีบขอโทษทันที

แต่ชานาเนสกลับส่ายหน้ายิ้มๆ

“ขอโทษอะไรกัน เจ้าเก่งมากเลยนะ เทีย อดทนได้ดีมาก”

ทั้งยังช่วยลูบศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน

เธอเองก็รู้อยู่หรอกว่าชานาเนสไม่ใช่คนแข็งกระด้างไม่เป็นมิตรอะไร

แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นนางในมุมนี้ด้วยตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นบริเวณอื่นข้าจะช่วยทายาให้นะคะ”

ผ่านไปพักใหญ่ บาดแผลทั่วร่างก็ถูกทายาเสร็จเรียบร้อย หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวที่เลอะเปรอะเลือดจนดูไม่ได้เป็นตัวใหม่ เธอก็นอนพักบนเตียงในคลินิก เป็นการเข้ารักษาตัวในคลินิกรูปแบบหนึ่ง

“คืนนี้คุณโอเลียจะคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกายท่านเจ้าตระกูลค่ะ ส่วนท่านฟีเรนเทีย ข้าจะเป็นคนดูแลอยู่ที่นี่เองนะคะ”

“แต่ท่านปู่…”

“ท่านเจ้าตระกูลเพียงแค่จำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้า เผื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาเท่านั้นเองค่ะ คนที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาทันทีในตอนนี้คือท่านฟีเรนเทียนะคะ”

เวลาแบบนี้ เอสทีร่าเองก็เป็นคนหนักแน่นเหมือนกันสินะ

“ได้ งั้นวันนี้ก็พักที่นี่แล้วกัน”

กระทั่งชานาเนสเองก็ยังช่วยห่มผ้าห่มผืนหนาให้เธอจนถึงใต้คาง

ก๊อก ก๊อก

“เข้าไปได้หรือไม่”

สุดท้ายท่านปู่ก็ตามมาที่คลินิกจนได้

“เข้ามาได้เลยค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”

เอสทีร่าเป็นฝ่ายตอบแทนทุกคน

ประตูเปิดออก ท่านปู่มีสีหน้าราวกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ท่านเดินเข้ามายังเตียงที่เธอนอนอยู่

ภาพลักษณ์ต่างจากเมื่อครู่นี้ที่ยังตะโกนเสียงดังต่อหน้าผู้คนอย่างสิ้นเชิง

“เทีย…โธ่ เด็กน้อย”

ท่านปู่ใช้ปลายนิ้วช่วยซับหยาดน้ำตาที่ยังคงเอ่อคลออยู่บนนัยน์ตาของเธอด้วยความรู้สึกผิด ท่านไม่อาจละสายตาออกไปจากไหล่ของเธอที่ถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลได้เลย

หลังจากความเงียบกลืนกินไปทั่วอยู่พักใหญ่ ท่านปู่ก็พูดเสียงสั่นเครือ

“ขอโทษนะ…เพราะปู่คนนี้ เจ้าถึง…”

คงจะโทษตัวเองอย่างหนักว่าเป็นเพราะท่าน เธอถึงได้บาดเจ็บแบบนี้

เธอมองท่านปู่ ก่อนจะถามท่าน

“รู้สึกผิดจริงๆ เหรอคะ”

“แน่นอนสิ… เพราะข้า เจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้…”

“ถ้าอย่างนั้นต้องสัญญากับข้าว่า ต่อไปจะรับการรักษาให้ดี ทานยาที่เอสทีร่าจัดเตรียมให้อย่างสม่ำเสมอไม่ขาดนะคะ”

เธอยื่นนิ้วก้อยออกไป

“เทีย…”

ท่านปู่พูดอะไรไม่ออก ได้แต่เหม่อมองนิ้วก้อยที่เธอยื่นออกไปหา เพียงไม่นานก็พยักหน้าพลางยื่นนิ้วออกมาเกี่ยวเข้ากับนิ้วของเธอ

มือข้างนั้นยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย

ท่านปู่หลบเลี่ยงไหล่ของเธอข้างที่บาดเจ็บ ก่อนจะโอบกอดเธอไว้ แล้วพึมพำซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ

“ขอโทษนะ ปู่ขอโทษ…”

เธอช่วยลูบแผ่นหลังของท่านปู่เพื่อปลอบโยนท่าน

โล่งอกจริงๆ ที่ท่านปู่ไม่ได้บาดเจ็บหนักเหมือนอย่างในชีวิตก่อน

เธอคิดเช่นนั้นจากใจจริง

* * *

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]