เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

พ่อบ้านเริ่มเล่าเรื่องที่ตนได้ยินและได้เห็นมาตลอดทั้งวันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เบเจอร์ทำงานในฐานะรักษาการตำแหน่งเจ้าตระกูลได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว

รูลลักคอยรับการรายงานจากโยฮันเกี่ยวกับงานของเบเจอร์อยู่ทุกวัน

ทุกสัปดาห์เบเจอร์จะต้องมารายงานกับรูลลักโดยตรงสัปดาห์ละครั้งอยู่แล้วก็จริง แต่โยฮันรายงานเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดในฐานะบุคคลที่สาม ไม่นำอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยว

รายงานของทั้งสองคนแตกต่างกันมาก อันที่จริงก็ไม่น่าตกใจอะไรนัก

“…ว่าแล้วเชียว”

รูลลักยิ้มขมขื่น

ในตอนที่ฝากฝังให้เบเจอร์รับตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูล เขาเองก็คาดหวังอยู่เหมือนกัน

คาดหวังไว้ว่าเบเจอร์จะตระหนักได้ถึงความรับผิดชอบในฐานะเจ้าตระกูล แล้วแสดงภาพลักษณ์แบบอื่นออกมาให้เขาได้เห็นบ้างหรือเปล่า

อะไรเทือกนั้น

“อารมณ์ของเบเจอร์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“…ดูอารมณ์ดีมากเลยครับ”

“อืม…”

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองทำเรื่องผิดพลาดอะไรลงไปบ้างสินะ

“ถ้าเบเจอร์สังเกตเห็นข้อด้อยของตัวเองบ้างก็คงดี”

ควรได้เรียนรู้เสียบ้างว่า ตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนั้นเป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่มากมาย และมีค่ามากขนาดไหน

เพราะฉะนั้นเขาถึงได้หวังว่าเบเจอร์จะยอมปล่อยวางความโลภพวกนั้นลง

“ข้าโลภเกินไปหรือ ที่หวังเรื่องเช่นนั้น…”

รูลลักถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกเสียใจเอาไว้ได้

“คงต้องเลิกโง่ได้แล้วสินะ”

“ท่านเจ้าตระกูล…”

โยฮันเอ่ยเรียกรูลลักด้วยความเป็นห่วง

“อา ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง เพียงแค่รู้สึกผิดกับเหล่าเจ้าตระกูลทั้งหลายก็เท่านั้น”

รูลลักหัวเราะขมขื่นในขณะที่พูด

“ดังนั้นต้องรีบฟื้นฟูสุขภาพ จะได้รีบลุกขึ้นจากเตียง กลับมาประจำตำแหน่งไม่ใช่หรือครับ”

โยฮันยิ้มอ่อนโยน พูดเพื่อปลอบโยนเจ้าตระกูล

“นั่นสิ ขอบใจ ขอบใจเจ้ามาก”

รูลลักยังคงรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเจ้าตระกูลคนถัดไปที่จะสืบทอดต่อจากเขา แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มออกมา

“โล่งอกที่ตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ แค่ทานยาอย่างต่อเนื่อง พักเสียหน่อยก็น่าจะดีขึ้นแล้วละ”

“อา ค่อยโล่งอกหน่อยนะครับ! ”

“อันที่จริงเห็นอายุยังน้อยก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่ดอกเตอร์เอสทีร่า…”

ก๊อก ก๊อก

“ท่านปู่!”

จู่ๆ ก็มีเสียงใสกังวานดังขึ้น พร้อมกับประตูห้องที่ถูกเคาะ

“เทีย?”

ฟังแค่เสียงรูลลักก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เขาเกือบจะลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังประตูโดยไม่รู้ตัว

บนใบหน้าของโยฮันที่ห้ามปรามรูลลักเอาไว้ ก่อนจะเดินไปช่วยเปิดประตูให้แทน ก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

“ท่านปู่ ข้ามาแล้วค่ะ!”

“โฮ่ว เทียมา…หืม?”

รูลลักต้อนรับหลานสาวด้วยความดีใจ แต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูที่ถูกเปิดออกไม่ได้มีเพียงแค่เทียคนเดียวเท่านั้น

ลาลาเน่กับเครนีย์ที่ยืนอยู่ข้างกาย และยังมีสองแฝดคอยยืนคุ้มครองพวกเขาอยู่ด้านหลังอย่างมั่นคงอีกด้วย

เด็กน้อยทั้งหลายที่ไม่ได้คล้ายคลึงกันแต่ก็มีส่วนที่คล้ายอยู่เช่นกัน พวกเขายืนออกันอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าสดใส

เทียยิ้มกว้าง พูดกับรูลลักที่กำลังตกใจ

“วันนี้ข้าไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกันหมดเลยค่ะ ท่านปู่!”

* * *

“…อืม รีบเข้ามาสิ”

บนใบหน้าของท่านปู่เริ่มค่อยๆ มีรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้น

มันเป็นรอยยิ้มจากใจจริงที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้

“ข้าไปเตรียมเครื่องดื่มกับของว่างมาให้นะครับ”

พ่อบ้านกล่าวเช่นนั้น แล้วปลีกตัวไปจัดเตรียมขนมปังกับน้ำผลไม้ที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางเสียงแกรกๆ ที่ดังขึ้น เธอดันหลังเครนีย์เบาๆ พลางพูดขึ้น

“มัวทำอะไรอยู่ เครนีย์ ต้องเอาของเยี่ยมไข้ให้ท่านปู่สิ”

“เอาของขวัญมาด้วยหรือ”

ท่านปู่มองเครนีย์ในขณะที่ถามขึ้น

“คะ คือว่า…งื้อ”

ใบหน้าของเครนีย์ถูกย้อมจนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย เด็กน้อยส่งช่อดอกไม้ช่อเล็กที่ซ่อนเอาไว้อยู่ข้างหลังให้ท่านปู่

“รีบหายไวๆ นะครับ ท่านปู่!”

“ฮ่าฮ่า…”

ท่านปู่เองก็ทราบดีว่าเครนีย์เป็นเด็กที่ใสซื่อและทึ่มทื่อมากแค่ไหน

เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ทราบดีว่า การมอบของขวัญที่เตรียมมาให้ท่านปู่ผู้แสนน่ากลัว มันเป็นการกระทำที่ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก

“อืม ขอบใจนะ เครนีย์”

ท่านปู่รับช่อดอกไม้ไปถือไว้ ในขณะเดียวกันก็ลูบไหล่ของเครนีย์เบาๆ

“มีสายตาเลือกดอกไม้ได้สวยมากเลยนะเนี่ย”

ทั้งยังเอ่ยชมอีกด้วย

“วะ วันนี้ข้าเก็บเอาจากสวนในคฤหาสน์ตลอดทั้งวันเลยครับ!”

“เหรอ สวยมากจริงๆ”

“ดะ ได้รับคำชมด้วย”

บนใบหน้ายิ้มแย้มของเครนีย์เปี่ยมไปด้วยความดีใจ

ปกติแล้วเขาชอบอ่านหนังสือ ชอบของสวยๆ งามๆ อย่างดอกไม้ แต่เพราะเรื่องนี้ เขาเลยโดนพี่ชายของตัวเองอย่างอาสทัลลีอูล้อเลียนเป็นประจำ

ดังนั้นพอได้รับคำชมจากท่านปู่ว่าช่อดอกไม้ของเขาสวย ถึงได้ดีใจมากจนหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู

“ท่านปู่ ของข้าอันนี้….”

ลาลาเน่ยิ้มเขินอาย ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งออกไป

“เวลาที่ข้าป่วย ไม่มีอะไรช่วยคลายเหงาได้เท่าหนังสือแล้วน่ะค่ะ…”

ท่านปู่ไม่นึกว่าลาลาเน่เองก็มีของขวัญมาให้เขาด้วย ท่านจึงเหม่อมองหนังสือเล่มนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาด้วยความพึงพอใจเช่นเดียวกัน

“ขอบใจ ลาลาเน่ นี่ปู่ก็อ่านหนังสือพวกนี้จบแล้วพอดีเลย ได้จังหวะทีเดียว วันนี้จะได้เริ่มอ่านเล่มนี้ทันที”

ลาลาเน่เองก็มีลักยิ้มบุ๋มลึกเบ่งบานขึ้นบนใบหน้า

“เตรียมของว่างเรียบร้อยแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวลงไปห้องอาหารก่อนนะครับ ท่านเจ้าตระกูล”

“อืม ลำบากเจ้าแล้ว”

โยฮันออกไปจากห้องนอน พวกเด็กๆ นั่งล้อมวงกันอยู่รอบโต๊ะที่มีเค้กง่ายๆ กับคุกกี้รสหวานจัดเตรียมเอาไว้

ในตอนนั้นเอง

เมโลนกัดคุกกี้หนึ่งคำ ก่อนจะถองสีข้างของคิลลีวูแล้วหยิบเอาคุกกี้ชนิดเดียวกันวางลงบนจานใบเล็กสองชิ้น

คิลลีวูรับจานนั้นมาถือไว้ เขาเดินตรงไปส่งให้ถึงมือของท่านปู่แล้วรีบเดินกลับมา

“อร่อยนะครับ ท่านปู่ ทานสิครับ”

สองแฝดไม่ใช่คนพูดจาหวานเลี่ยน พวกเขาจึงดูแลท่านปู่ด้วยวิธีของตัวเอง

ท่านปู่มองคุกกี้บนจานใบเล็ก สลับกับพวกเด็กๆ ที่นั่งล้อมวงกันอยู่ ก่อนจะเอ่ยเรียกเธอ

“เทีย”

“ค่ะ ท่านปู่”

“ที่มาเยี่ยมไข้พร้อมกันหมดกับพวกลูกพี่ลูกน้องวันนี้ เป็นความคิดของเจ้าสินะ”

ทราบเรื่องนั้นได้ยังไงเนี่ย

เธอยิ้มรับ ยักไหล่ไม่ยี่หระอะไร

“…ขอบใจนะ เทีย”

แม้ว่าจะทำท่าเหมือนดีใจ แต่ท่านปู่กลับยิ้มขมขื่น แล้วพูดขึ้น

“โล่งอกจริงๆ ที่พวกเจ้าสนิทสนมกันแบบนี้ โล่งอกจริงๆ …”

เธอเองก็พอจะเข้าใจความหมายของคำพูดนั่นอยู่บ้าง

ดังนั้นจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ เสียงแผ่ว

ท่านปู่มองเหล่าลูกพี่ลูกน้องของเธอที่กำลังนั่งแบ่งปันของกินอร่อยๆ ในขณะที่ลูบผมเธออยู่เงียบๆ

* * *

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]