เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

“เบ๊ต พกไม้ขีดมาด้วยใช่มั้ยคะ”

“ครับ พกมาครับ”

“เอาออกมาหน่อยสิคะ”

เบ๊ตเอียงคอด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินคำสั่งของเธอ เขาหยิบเอาไม้ขีดกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ลองใช้มันเผาเช็คทีค่ะ”

“ครับ”

“เร็วเข้าสิคะ”

คำเรียกร้องอันน่าขันของเธอทำให้เบ๊ตต้องหันไปมองเครย์ลีบันกับไวโอเล็ต แต่แววตาของทั้งคู่กลับไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเธออย่างสมบูรณ์

“…ทราบแล้วครับ”

เบ๊ตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เขาจุดไม้ขีด จ่อมันเข้ากับเช็คอย่างระมัดระวัง

“อ๊ะ? โอ๊ะ…?”

เช็คที่ภายนอกดูเหมือนกันจนแยกไม่ออก ใบหนึ่งกลับให้เปลวไฟสีแดงส้ม อีกใบให้เปลวไฟสีน้ำเงิน

“ปะ แปลกจริง”

เบ๊ตเป่าลมฟู่รีบดับไฟอย่างรวดเร็ว เขาลองจุดไม้ขีดอีกครั้ง

ครั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม

“นี่คือวิธีแยกแยะของจริงกับของปลอมค่ะ”

ในชีวิตก่อนเหล่าพนักงานธนาคารได้ทำการรวบรวมเช็คปลอมที่สุดท้ายก็หาวิธีแยกแยะไม่ได้ เพื่อที่จะจัดการทำลายมันทิ้ง และนี่ก็เป็นวิธีการที่พวกเขาค้นพบขึ้นในตอนที่จะเผากำจัดมัน

แต่ก็นะ กว่าจะรู้ได้มันก็สายเกินไปแล้วอยู่ดี

“ได้ยังไงกัน ทราบได้ยังไงครับ”

เบ๊ตเบิกตากว้าง ถามเธอด้วยความตกใจ

ข้างในนัยน์ตาสีอำพันที่เบิกกว้างคู่นั้น เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้ม

เธอมองหน้าเบ๊ต แล้วตอบเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ความลับทางธุรกิจค่ะ”

“…ครับ”

“ความ.ลับ.ทาง.ธุรกิจ.ค่ะ”

“อ่า…”

เบ๊ตมีสีหน้าหมองหม่น

ทางฝั่งเธอต่างหากล่ะ ที่มีความลับทางธุรกิจที่ไม่มีวันแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ทั้งนั้นอยู่

เธอปล่อยเบ๊ตทิ้งไว้แบบนั้น แล้วหันไปมองเครย์ลีบันแทน

“เครย์ลีบัน”

“เชิญกล่าวมาได้เลยครับ ท่านฟีเรนเทีย”

นัยน์ตาที่มองเธอคู่นั้นกะพริบปริบเป็นประกายวิบวับ

“นำวิธีที่ข้าแสดงให้ดูเมื่อครู่ไปแจ้งท่านชานาเนสทีนะคะ”

“ได้ครับ ข้าจะจัดการให้ครับ”

“ต้องไปให้เร็วหน่อย ถึงจะแค่วันเดียวก็ยังดีค่ะ ไวโอเล็ตช่วยไปเอา ‘ของสิ่งนั้น’ ที่ฝากไว้ในห้องนิรภัยของธนาคารลอมบาร์เดียทีนะคะ เสร็จแล้วอย่าลืมเอามันไปให้เครย์ลีบันด้วยค่ะ”

“ค่ะ ท่านฟีเรนเทีย เลิกประชุมแล้วข้าจะไปทันทีค่ะ”

“แล้วก็เบ๊ตคะ ข้ามีเรื่องอยากไหว้วานอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ”

เบ๊ตที่เหม่อลอยไปเพราะคำพูดของเธอเมื่อก่อนหน้านี้สะดุ้งโหยงตื่นจากภวังค์ทันที

“ช่วยสืบข้อมูลของคนคนหนึ่งให้ทีค่ะ ชื่อว่า…”

เบ๊ตเอียงคอมองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ เธอก็ขอให้ช่วยสืบเรื่องคนคนหนึ่งให้

“เรื่องแค่นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรอยู่แล้วครับ แต่…”

เบ๊ตตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ เขาก็หยุดพูด แล้วหันไปมองเครย์ลีบันกับไวโอเล็ต

แต่เพียงไม่นานก็พยักหน้าลงอย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่

ท่าทางของเบ๊ตในตอนนี้ ดูแล้วคล้ายคลึงกับท่าทางของเครย์ลีบันกับไวโอเล็ตเวลาปฏิบัติต่อเธออย่างไรชอบกล

* * *

เย็นวันนั้น

ชานาเนสมาถึงห้องทำงานเจ้าตระกูลด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ก๊อก ก๊อก

“เบเจอร์ ข้าเข้าไปสักครู่ได้หรือไม่”

นางถามตารางงานมาจากพ่อบ้านก่อนแล้วถึงได้ตั้งใจแวะมาหลังจากที่งานทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว

และไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินคำตอบของเบเจอร์

“…เข้ามาสิครับ”

คำตอบนั่นฟังดูน่าสงสัยชอบกล แต่ชานาเนสไม่ได้คิดอะไรมาก

จนกระทั่งพบว่าเซรัลนั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน

“มาแล้วหรือครับ”

ทั้งสองคนกำลังนั่งกินขนมกันในห้องทำงาน ท่าทางจะสนุกกันมากทีเดียว

สีหน้าของเซรัลที่ถูกขัดจังหวะถึงได้ดูไม่ค่อยพอใจนัก

“ขอโทษด้วย พอดีข้ามีเรื่องอยากหารือกับเบเจอร์เสียหน่อย”

“…หารือหรือครับ”

เบเจอร์เป็นฝ่ายถามกลับไปด้วยเสียงกราดเกรี้ยวแทนเซรัล

“ท่านพี่มีเรื่องอะไรอยากหารือกับข้าที่เป็นรักษาการเจ้าตระกูลอย่างนั้นหรือครับ”

“…คุยกันตามลำพังแค่สองคนจะดีกว่ากระมัง”

ถึงแม้เบเจอร์จะพูดหยาบคายราวกับตั้งใจจะทำให้เสียศักดิ์ศรี แต่ชานาเนสก็ยังคงตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น

เบเจอร์เหลือบมองเซรัลหนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดเสียงห้วน

“ต่อหน้าภริยาของข้า ไม่มีเรื่องใดพูดไม่ได้หรอกครับ แล้วมีเรื่องอะไรล่ะครับ ที่จะพูด”

หลังจากได้เป็นรักษาการเจ้าตระกูล เบเจอร์ก็เปลี่ยนการพูดจาเป็นเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างมาก

“…ได้ เห็นว่าช่วงนี้มีเช็คปลอมว่อนไปทั่ว เรื่องนั้นเจ้ารู้อยู่แล้วหรือเปล่า”

“เช็คปลอม?”

เบเจอร์ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม

“ผู้จัดการธนาคาร เจ้านั่นมันไปหาท่านพี่อย่างนั้นหรือครับ”

“ไม่ใช่แบบนั้น…”

“กล้าดีเช่นไรถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูล”

เบเจอร์ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งในขณะที่ตะโกนเสียงดัง

“เบเจอร์ ใจเย็นก่อน ฟังที่ข้าพูด…”

“ทำไมข้าจะต้องฟังคำพูดของท่านพี่ที่บังอาจเมินเฉยอำนาจรักษาการเจ้าตระกูล ที่ท่านพ่อเป็นคนมอบให้ข้าด้วยล่ะครับ! ”

“…บังอาจ?”

น้ำเสียงของชานาเนสเองก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

“การที่ท่านพ่อมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลชั่วคราวให้เจ้า ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะใช้อำนาจนั่นได้ตามอำเภอใจ เลียนแบบเหมือนตัวเองเป็นเจ้าตระกูลหรอกนะ เบเจอร์”

“เลียนแบบเป็นเจ้าตระกูล? ข้าทำหน้าที่ของข้าได้อย่างดีไม่มีบกพร่องครับ! ตอนนี้ท่านพี่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาพูดพล่ามโน่นนี่กับข้าได้นะครับ! ”

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าในหัวของเจ้า รักษาการเจ้าตระกูลมันเป็นตำแหน่งแบบใด แต่ข้าคงได้รู้สิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนทีเดียว เจ้าไม่ได้เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าเช็คปลอมนี่ มันเป็นปัญหาร้ายแรงขนาดไหน เจ้าโง่”

“ระวังคำพูดด้วยครับ! ต่อให้เป็นท่านพี่ก็เถอะ ยังไงท่านพี่ก็ไม่สามารถหยาบคายไร้มารยาทกับข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลได้นะครับ! ตอนนี้ข้าอยู่ในตำแหน่งแทนท่านพ่อครับ!”

ชานาเนสรู้สึกเวียนศีรษะไปหมด นี่มันเหมือนกับนางกำลังพูดกับกำแพงอย่างไรอย่างนั้น

สิ่งที่เบเจอร์สนใจมีเพียงแค่อำนาจและสิทธิในฐานะเจ้าตระกูลเท่านั้น

ดูจากการที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งอ้อยอิ่ง ทั้งๆ ที่นางพูดเรื่องเช็คปลอมก็รู้ได้แล้ว

“กับอีแค่เช็คปลอมไม่กี่แผ่นมันจะไปสำคัญอะไรนัก! ท่านพี่ต่างหากที่มัวแต่ยึดติดกับเรื่องหยุมหยิม แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกไม่ใช่หรือครับ”

เบเจอร์พ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึ พลางพูดขึ้น

“คงจะอิจฉาที่ข้าได้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลสินะครับ เพราะอย่างนั้นถึงได้จงใจหาข้ออ้างเข้ามาก้าวก่ายงานของข้า มันเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วนี่ครับ!”

ชานาเนสหัวเราะเสียงแผ่วด้วยไม่อาจทนต่อไปได้ไหว

เบเจอร์เชื่อว่าเช็คปลอมเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ

และเบเจอร์คนนั้นยังมองว่าชานาเนสเป็นตัวขัดขวาง ผู้มีจิตใจชั่วร้ายอีกด้วย

“…ได้ เบเจอร์ ดูเหมือนข้าจะคาดหวังในตัวเจ้าสูงเกินไปเสียแล้ว”

ชานาเนสเหลือทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

ได้ยินเสียงหัวเราะของเซรัลกับเบเจอร์ดังไล่ตามหลัง แต่ชานาเนสก็ไม่คิดที่จะเหลียวหลังหันกลับไปมอง

นางคิดว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะต้องไปเข้าพบท่านพ่อทันทีเสียแล้ว

ชานาเนสกลับมายังบ้านของตัวเองด้วยใจที่หนาวเหน็บ แต่แล้วนางก็พบว่ามีใครบางคนกำลังรอนางอยู่หน้าประตูบ้าน

“ท่านชานาเนส ถึงแม้จะค่ำแล้ว แต่พอจะสนทนากันสักครู่ได้มั้ยครับ”

คนที่กล่าวทักทายด้วยความสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาคือ เครย์ลีบัน เพลเลส

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]