“เบ๊ต พกไม้ขีดมาด้วยใช่มั้ยคะ”
“ครับ พกมาครับ”
“เอาออกมาหน่อยสิคะ”
เบ๊ตเอียงคอด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินคำสั่งของเธอ เขาหยิบเอาไม้ขีดกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ลองใช้มันเผาเช็คทีค่ะ”
“ครับ”
“เร็วเข้าสิคะ”
คำเรียกร้องอันน่าขันของเธอทำให้เบ๊ตต้องหันไปมองเครย์ลีบันกับไวโอเล็ต แต่แววตาของทั้งคู่กลับไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเธออย่างสมบูรณ์
“…ทราบแล้วครับ”
เบ๊ตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เขาจุดไม้ขีด จ่อมันเข้ากับเช็คอย่างระมัดระวัง
“อ๊ะ? โอ๊ะ…?”
เช็คที่ภายนอกดูเหมือนกันจนแยกไม่ออก ใบหนึ่งกลับให้เปลวไฟสีแดงส้ม อีกใบให้เปลวไฟสีน้ำเงิน
“ปะ แปลกจริง”
เบ๊ตเป่าลมฟู่รีบดับไฟอย่างรวดเร็ว เขาลองจุดไม้ขีดอีกครั้ง
ครั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
“นี่คือวิธีแยกแยะของจริงกับของปลอมค่ะ”
ในชีวิตก่อนเหล่าพนักงานธนาคารได้ทำการรวบรวมเช็คปลอมที่สุดท้ายก็หาวิธีแยกแยะไม่ได้ เพื่อที่จะจัดการทำลายมันทิ้ง และนี่ก็เป็นวิธีการที่พวกเขาค้นพบขึ้นในตอนที่จะเผากำจัดมัน
แต่ก็นะ กว่าจะรู้ได้มันก็สายเกินไปแล้วอยู่ดี
“ได้ยังไงกัน ทราบได้ยังไงครับ”
เบ๊ตเบิกตากว้าง ถามเธอด้วยความตกใจ
ข้างในนัยน์ตาสีอำพันที่เบิกกว้างคู่นั้น เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้ม
เธอมองหน้าเบ๊ต แล้วตอบเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ความลับทางธุรกิจค่ะ”
“…ครับ”
“ความ.ลับ.ทาง.ธุรกิจ.ค่ะ”
“อ่า…”
เบ๊ตมีสีหน้าหมองหม่น
ทางฝั่งเธอต่างหากล่ะ ที่มีความลับทางธุรกิจที่ไม่มีวันแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ทั้งนั้นอยู่
เธอปล่อยเบ๊ตทิ้งไว้แบบนั้น แล้วหันไปมองเครย์ลีบันแทน
“เครย์ลีบัน”
“เชิญกล่าวมาได้เลยครับ ท่านฟีเรนเทีย”
นัยน์ตาที่มองเธอคู่นั้นกะพริบปริบเป็นประกายวิบวับ
“นำวิธีที่ข้าแสดงให้ดูเมื่อครู่ไปแจ้งท่านชานาเนสทีนะคะ”
“ได้ครับ ข้าจะจัดการให้ครับ”
“ต้องไปให้เร็วหน่อย ถึงจะแค่วันเดียวก็ยังดีค่ะ ไวโอเล็ตช่วยไปเอา ‘ของสิ่งนั้น’ ที่ฝากไว้ในห้องนิรภัยของธนาคารลอมบาร์เดียทีนะคะ เสร็จแล้วอย่าลืมเอามันไปให้เครย์ลีบันด้วยค่ะ”
“ค่ะ ท่านฟีเรนเทีย เลิกประชุมแล้วข้าจะไปทันทีค่ะ”
“แล้วก็เบ๊ตคะ ข้ามีเรื่องอยากไหว้วานอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ”
เบ๊ตที่เหม่อลอยไปเพราะคำพูดของเธอเมื่อก่อนหน้านี้สะดุ้งโหยงตื่นจากภวังค์ทันที
“ช่วยสืบข้อมูลของคนคนหนึ่งให้ทีค่ะ ชื่อว่า…”
เบ๊ตเอียงคอมองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ เธอก็ขอให้ช่วยสืบเรื่องคนคนหนึ่งให้
“เรื่องแค่นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรอยู่แล้วครับ แต่…”
เบ๊ตตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ เขาก็หยุดพูด แล้วหันไปมองเครย์ลีบันกับไวโอเล็ต
แต่เพียงไม่นานก็พยักหน้าลงอย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่
ท่าทางของเบ๊ตในตอนนี้ ดูแล้วคล้ายคลึงกับท่าทางของเครย์ลีบันกับไวโอเล็ตเวลาปฏิบัติต่อเธออย่างไรชอบกล
* * *
เย็นวันนั้น
ชานาเนสมาถึงห้องทำงานเจ้าตระกูลด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ก๊อก ก๊อก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...