เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

ผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก ริกนีเต้ บุตรชายคนที่สองของเจ้าตระกูลรูมันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

“นี่ข้าเห็นภาพหลอนกลางวันแสกๆ เหรอ”

พึมพำเช่นนั้นในขณะเดียวกันก็ขยี้ตาไม่หยุด แต่ทัศนียภาพที่เห็นจากไกลๆ กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเสียที

“เฟเรส…หัวเราะ?”

ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงเจ้าชายประจำอาณาจักรแลมบลู แต่พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าศึกษาที่อะคาเดมีในสถานที่ทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องทางการ พวกเขาจึงสามารถเรียกชื่อกันได้อย่างสบายใจ

มีผู้คนมากมายยอมติดตามเฟเรสก็จริง แต่คนที่สามารถเรียกชื่อเขาโดยตรงแบบนี้ได้ มีแค่ริกนีเต้คนเดียวเท่านั้น

แต่แม้กระทั่งตัวริกนีเต้เองก็ยังไม่เคยเห็นเฟเรสหัวเราะเลยแม้แต่ครั้งเดียว

จนกระทั่งวันนี้

ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว แต่พวกเขาเพิ่งจะฝ่าลมหนาวเสียดแทงผิวอย่างรุนแรงจากทางเหนือ ควบม้าวิ่งตรงมาถึงลอมบาร์เดียเมื่อเช้าวันนี้เองนะ

เจ้านั่นบอกว่าไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม พวกเขาจะต้องถึงภาคกลางของอาณาจักรภายในวันนี้ให้ได้ เขาก็นึกว่าที่พระราชวังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเสียอีก

แต่เฟเรสกลับควบม้ามายังสถานที่แปลกพิลึก

ต่อให้เขาถามว่าจะไปไหนกันแน่ เฟเรสก็เอาตอบแต่ว่า ‘ถ้าลำบากนัก จะไปคนเดียว’ เขาจึงได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาควบม้าตามมา ด้วยไม่อาจปล่อยเฟเรสเดินทางตามลำพังได้จริงๆ

และสถานที่ที่พวกเขามาถึงก็คือลอมบาร์เดียนั่นเอง

“หมอนั่นรู้จักหัวเราะเป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย”

จริงๆ นะ ริกนีเต้คิดว่าเฟเรสมีส่วนไหนพังอย่างรุนแรงไปแล้วจริงๆ

โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมด้านการแสดงอารมณ์ความรู้สึก เขาเคยสงสัยมาตลอดด้วยซ้ำว่ามันยังใช้งานได้ปกติดีหรือเปล่า

แต่เฟเรสกลับหัวเราะเพียงแค่เพราะได้พบหน้าผู้หญิงคนเดียว

ทั้งยังทำตาหวานเชื่อมปานน้ำผึ้งอีกด้วย

“โอ๊ะ?”

ริกนีเต้ลุกขึ้นพรวดจากที่นั่งในทันที

เพราะเฟเรสคว้าตัวผู้หญิงคนนั้นเข้าไปกอดเสียแล้ว

“นี่มัน…ถ้าเอาไปบอกคนอื่น ต้องไม่มีใครเชื่อแน่ๆ”

ไม่โดนถีบเพราะถูกหาว่าโกหกก็บุญแล้ว

ในตอนนั้นเอง ในหัวสมองก็พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา

“หรือว่า…”

ริกนีเต้หรี่ตาลง แข้งขาสั่นด้วยใจร้อนรน

หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน เฟเรสที่เหลืออยู่คนเดียวเฝ้ามองจนกระทั่งแผ่นหลังของอีกฝ่ายลับหายไปจากสายตา จึงค่อยเดินกลับมายังตำแหน่งที่ริกนีเต้ยืนรออยู่

“คราวนี้ก็ไปเมืองหลวงกันเถอะ”

เฟเรสสาวเท้าพรวดเดินเข้ามาใกล้จนผ้าคลุมพลิ้วไหว กลับมามีใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนปกติต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

“เฟเรส”

“อะไร”

เฟเรสกำลังตรวจเช็กให้แน่ใจก่อนว่าอานม้าไม่ได้คลายตัวจนหลวม เขาตอบเสียงเรียกของริกนีเต้คร่าวๆ ไม่ได้สนใจอะไรนัก

“ผู้หญิงคนนั้น เจ้าของจดหมายนั่น ใช่มั้ยล่ะ”

กึก

การเคลื่อนไหวของเฟเรสที่กำลังมัดปมเชือกที่คลายตัวออกให้แน่นจนมือขึ้นเป็นเส้นเลือดปูดถึงกับหยุดชะงักในทันที

ว่าแล้วเชียว

ริกนีเต้แสยะยิ้ม

“เจ้าของจดหมายที่เจ้าไม่ยอมให้ใครเห็น แอบไปเขียนอย่างเอาใจใส่อยู่ทุกครานั่น ก็คือผู้หญิงคนนั้นสินะ”

สหายหลายๆ คนต่างก็คาดเดาเรื่องผู้รับจดหมายพวกนั้นกันไปต่างๆ นานา

อาจจะเป็นหัวหน้านางกำนัลที่มักจะนำสิ่งของเครื่องใช้ที่เฟเรสจำเป็นต้องใช้มาให้ปีละครั้งก็ได้

ไม่สิ ดูจากที่แต่ละครั้งเขียนหลายแผ่นจนเป็นปึกหนาเหมือนรายงาน ก็น่าจะเป็นรายงานความสำเร็จในอะคาเดมีที่ต้องถวายแด่องค์จักรพรรดิกระมัง

พวกเขาลือกันไปต่างๆ นานา

แต่สิ่งที่เรียกเสียงหัวเราะได้มากที่สุดคือคำพูดของริกนีเต้

“หรือว่าเฟเรสจะมีคนที่รักจนแทบคลั่งอยู่หรือเปล่า”

ผู้คนที่ได้ฟังการคาดเดาของเขานั้นต่างก็หัวเราะจนท้องแข็ง พูดปาวๆ ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วกันทั้งสิ้น

ไม่มีใครจินตนาการออกได้เลยว่าเฟเรสจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

แต่ว่า

“ว่าแล้วเชียว ข้าเดาถูกจริงๆ ด้วย!”

ริกนีเต้กำหมัดแน่น ตะโกนเสียงดัง

แล้วพูดหยอกล้อเฟเรส

“เจ้านี่มีอะไรที่ผิดคาดเยอะนะเนี่ย ทั้งเรื่องที่หน้าตาหล่อเหลาเหมือนพวกชอบสเต๊กแท้ๆ แต่กลับชอบกินของหวานเป็นประจำนั่นก็ด้วย”

ความรักในของหวานของเฟเรสเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในอะคาเดมีทีเดียว”

ไม่ว่าใครลองถามก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ได้ชอบของหวานมากอะไรขนาดนั้น แต่ทุกวันก็เห็นต้องหาอะไรหวานๆ กินวันละหนึ่งครั้งอยู่ดี

และทุกครั้งที่ขนมหวานเลอะติดริมฝีปาก ใบหน้าของเฟเรสที่มักจะนิ่งขรึมอยู่ตลอดเวลาก็จะคลายตัวลงดูอ่อนโยนขึ้นมาก

“ริกนีเต้”

“ว่า?”

“หนวกหู”

“ชิส์”

เฟเรสกระโดดขึ้นหลังม้าไปก่อน

ริกนีเต้เองก็กระโดดขึ้นหลังม้า บังคับมันควบตามเขาไป

“พวกเราจะไปพระราชวังเหรอ”

“เปล่า ก่อนหน้านั้นข้ายังมีที่อีกที่หนึ่งที่ต้องแวะเสียก่อน”

หลังจากพูดจบประโยคเฟเรสก็เริ่มควบม้าออกวิ่งอีกครั้ง

สถานที่ที่พวกเขาหยุดม้าอีกครั้งคือสุสานแถบชานเมืองในเมืองหลวง

สถานที่แห่งนี้เป็นสุสานที่ใช้ฝังเหล่าชนชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่ สภาพจึงดูดีมากไม่ต่างอะไรจากสวนที่ถูกดูแลจัดการเป็นอย่างดี

เฟเรสผูกสายบังเหียนเอาไว้ที่ทางเข้าออก เขาหยิบช่อดอกไม้ช่อเล็กที่ใส่ไว้ในถุงหิ้วที่แขวนไว้กับอานม้าตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนออกมา

ดอกไม้เหี่ยวลงเล็กน้อย แต่เฟเรสก็ยังกุมมันไว้ในมือข้างหนึ่ง เดินตรงไปยังส่วนลึกของสุสาน

แม้แต่ริกนีเต้ที่ชอบพูดมาก เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็ยังต้องปิดปากแน่น เดินตามหลังเฟเรสไปเงียบๆ

ในที่สุดเฟเรสก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนแกะสลักอย่างประณีต เขาวางช่อดอกไม้ลงอย่างระมัดระวัง

“ข้ามาแล้วครับ”

เฟเรสกล่าวเช่นนั้น เขาใช้ปลายนิ้วลูบไปบนคำจารึกสั้นๆ ที่ถูกสลักไว้บนแผ่นหินของหลุมศพ

[ข้ารับใช้ผู้เป็นที่รักแห่งราชวงศ์ พอนต้า อิมพีกร้า หลับใหลอย่างสงบอยู่ ณ ที่แห่งนี้]

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]