เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

“อย่างที่หัวหน้านางกำนัลได้สอนสั่ง ข้ากลับมาหลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วครับ”

เสียงแผ่วเบาของเฟเรสเบามากเสียจนเกือบถูกสายลมกลบจนมิด

“ข้าละอายใจจริงๆ ที่ไม่อาจมาส่งท่านเดินทางจากไปได้”

ในทุกปีหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจะลากสังขารแก่ชราของนางเดินทางมาพบเฟเรสที่อะคาเดมีช่วงประมาณวันเกิดของเขาเป็นประจำ และในวันที่นางมาพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย

หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากล่าวราวกับคนที่ทราบดีอยู่แล้วว่า วันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้พบหน้ากัน

“ตอนที่เดินทางกลับมายังพระราชวัง จะต้องเตรียมการทุกสิ่งให้พร้อมเสียก่อน แล้วค่อยกลับมานะเพคะ เพราะคนพวกนั้นเองก็คงจะเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วเช่นกัน”

นอกจากเรื่องนั้นแล้ว หัวหน้านางกำนัลยังร้องขออะไรอีกหลายเรื่อง นางโค้งศีรษะด้วยความสุภาพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพูดทิ้งท้าย

“ขอให้พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดและเปี่ยมไปด้วยความดีนะเพคะ เจ้าชาย”

จักรพรรดิโยบาเนสยังมีชีวิตอยู่เป็นปกติดี การพูดเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับประกาศตัวว่าเป็นกบฏ

มันไม่ใช่คำพูดที่หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้า ผู้รับใช้ราชวงศ์มาตลอดชีวิตของนาง สมควรจะพูดเลยแม้แต่น้อย

แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังกล่าวเช่นนั้น เพราะนั่นเป็นคำพูดที่นางอยากจะบอกเฟเรสให้ได้เป็นครั้งสุดท้าย

เฟเรสลูบแผ่นหินด้วยใบหน้าขมขื่น

เขาพลันนึกถึงคำพูดที่ไม่อาจตอบออกไปได้ในตอนนั้น เพราะมัวแต่ตกตะลึงอยู่ขึ้นมาได้

เฟเรสเองก็เช่นกัน

มีคำที่อยากจะบอกออกไปให้ได้ แต่กลับไม่อาจบอกไปได้เมื่อตอนนั้น

ริมฝีปากขยับอ้าออกอย่างไร้เสียงอยู่หลายครั้ง คำพูดประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของเขาอย่างยากลำบาก

“ขอบคุณครับ”

ทั้งๆ ที่หญิงชราป่วยเป็นโรคคนนั้นมุ่งมั่นเดินทางผ่านเส้นทางที่แสนไกลแม้แต่คนหนุ่มสาวยังรู้สึกว่ามันยากลำบาก ฝ่าฟันเดินทางมาหาเขาถึงอะคาเดมีตั้งหลายครั้งแท้ๆ

พอลองมองย้อนกลับไป เฟเรสถึงได้ตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยบอกความรู้สึกขอบคุณออกไปให้นางได้ยินเลยสักครั้ง

และนั่นก็เป็นความรู้สึกเสียใจที่หลงค้างอยู่ในส่วนลึกของใจ

เฟเรสแนบหน้าผากลงบนป้ายหลุมศพเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นานหลังจากนั้นเขาจึงค่อยลุกขึ้นจากพื้น

และหันกลับไปพูดกับริกนีเต้ที่ยืนรออยู่ด้านหลังสั้นๆ

“ไปพระราชวังกันเถอะ”

* * *

มื้อเย็นมื้อสุดท้ายของวัยสิบเจ็ด เธอตัดสินใจใช้มันร่วมกับท่านพ่อ

ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันเริ่มเข้าสู่ภาวะมั่นคง ท่านพ่อจึงใช้เวลาช่วงนี้จัดการสะสางงานที่ผ่านมาที่เอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย

ในบรรดานั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ การจัดการเรื่องเขตแดนเชซายู ที่ได้รับมาพร้อมกับเหรียญรางวัลประจำวันชาติของอาณาจักรเมื่อตอนนั้นนั่นเอง

พอเข้าปีนี้ ท่านพ่อก็เดินทางลงไปประจำอยู่ที่เขตแดนเซชายู และได้เดินทางกลับมายังลอมบาร์เดียอีกครั้ง ก็เมื่อตอนที่ใกล้ถึงวันเกิดของเธอ

คงจะเหนื่อยจากการเดินทางระยะไกล ใบหน้าถึงได้ดูซูบผอมลงไปเล็กน้อย แต่ท่านพ่อก็ยังคงหล่อเหลาเหมือนเคย

ไม่สิ อายุอานามก็เข้าสู่ช่วงวัยสี่สิบเข้าไปแล้ว แต่กลับมีแต่จะให้กลิ่นอายเสน่ห์ของชายวัยกลางคนแทน

เธอเหม่อมองท่านพ่อด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่จู่ๆ ท่านพ่อที่นั่งหั่นสเต๊กอยู่ก็พึมพำขึ้นมาอย่างเหม่อลอย

“เทียของพ่อจะเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือนี่”

อ๊ะ จะร้องไห้อีกหรือเปล่าเนี่ย

นึกอยู่แล้วเชียวว่าจะต้องเป็นแบบนี้ คราวนี้เธอเลยพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวมาด้วย

เพื่อห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ท่านพ่อจะใช้ผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับน้ำตาแทน

แต่ผิดคาดที่คราวนี้ท่านพ่อกลับนิ่งสงบไม่ร้องไห้ฟูมฟาย

“นี่ถึงเวลาที่จะบินออกไปจากอ้อมกอดของพ่อแล้วจริงๆ สินะ”

ถึงแม้รอยยิ้มนั่นจะยังดูขมขื่นเหมือนเคยก็เถอะ

“เทีย”

ท่านพ่อมองเธอด้วยนัยน์ตาอบอุ่นจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร

“ขอบคุณนะที่เติบโตขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง ดีงาม ภายใต้พ่อที่อ่อนด้อยคนนี้”

“พ่อ…”

“เพราะข้าด้อยความสามารถ ทั้งยังอ่อนแอมากเกินไป จึงทำให้เจ้าต้องลำบากตั้งแต่เด็ก”

ท่านพ่อคงกำลังพูดถึงเรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นก่อนที่ท่านพ่อจะเริ่มทำธุรกิจ

“ข้าควรที่จะแข็งแกร่งให้มากขึ้น จะได้ปกป้องเจ้าไว้ได้…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]