“ข้าเองก็ตั้งใจว่าจะค่อยๆ แยกตัวออกมาจากลอมบาร์เดีย เลยอยากให้คุณเครย์ลีบันช่วยเหลือสักเล็กน้อยน่ะครับ”
“แยกตัว…”
“ตัดขาดแล้วกลับไปยังตระกูลชูลส์ยังไงล่ะครับข้าเบื่อไอ้พวกอันธพาลลอมบาร์เดียเต็มทนแล้วละครับ”
“แต่ถ้าไม่มีเหตุผลที่สมควร การจะหย่ากับลอมบาร์เดียย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ ค่าปรับเองก็คงจะมากพอตัวเลยด้วย”
“อ้อ เรื่องนั้นข้าคิดวิธีเอาไว้แล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ ในระหว่างที่ต้องรับมือกับลอมบาร์เดียตลอดเวลาที่ผ่านมา ความทุกข์ทรมานที่ข้าต้องอดทนก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย ค่าปรับควรจะเป็นทางฝ่ายข้าต่างหากที่ต้องได้รับ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ”
เป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ ทำไมเขาจะต้องเป็นห่วงคนที่นอกใจคนอื่นอย่างหน้าไม่อายด้วย
เครย์ลีบันเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
เขารังเกียจพฤติกรรมของเวสตินที่ขี้มโน ทำเหมือนพวกเขากลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วจะให้ข้าช่วยเรื่องอะไรครับ”
“ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เหมืองแร่ลีลาร์ ไม่สิ เหมืองเพชรน่ะครับ มอบสัมปทานในการขุดเจาะเหมืองแร่ให้ตระกูลชูลส์ได้มั้ยครับ”
นั่นคือเหตุผลที่สองที่ฟีเรนเทียคาดการณ์เอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
‘อา ว่าแล้วเชียว นี่แหละท่านฟีเรนเทีย’
เครย์ลีบันนึกถึงเด็กสาวผู้เป็นเหมือนความหวังอันแสนสดใสของลอมบาร์เดียขณะเดียวกันก็พยายามรวบรวมกำลังเพื่อรับมือกับขยะตรงหน้า
“อืม เรื่องนั้นคงต้องขอคิดดูก่อนนะครับ”
คำพูดของเครย์ลีบันทำให้เวสตินไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าผิดหวังไว้ได้ เขาพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดต่างๆ นานา แต่เครย์ลีบันกลับเอาแต่ยืนกรานว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ อยู่เรื่อย
ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องจริง
แต่ที่เขาพูดออกไปก็แค่ทำตามความตั้งใจของฟีเรนเทียเท่านั้น
“ทราบแล้วครับ รบกวนด้วยนะครับ”
เวสตินยอมถอยกลับไปก่อนอย่างว่าง่าย
แต่ก็ยังนัดหมายว่าจะมาพบเครย์ลีบันอีกครั้งในอีกหลายวันหลังจากนี้
ก่อนจากกันในตอนนั้นเขาคิดจะทำสัญญาโดยมีเงื่อนไขและพยายามลดค่าธรรมเนียมสัมปทานขุดเจาะให้ต่ำลงตามที่ตนต้องการ
แต่ในสถานการณ์ที่เรื่องราวไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เวสตินรู้สึกหงุดหงิดไปหมด ตอนที่เขากลับมาถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียแล้วถอดเสื้อนอกออกจึงแสดงท่าทีดุดันออกมา
‘ต้องได้สัมปทานขุดเจาะเหมืองเพชรนั่น ถึงจะแยกตัวออกจากลอมบาร์เดียที่น่าเบื่อเต็มทนนี่ได้แท้ๆ’
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง
“กลับมาเมื่อไหร่คะเนี่ย เวสติน”
ชานาเนสผู้เป็นภริยานั่นเอง
เวสตินเก็บซ่อนใบหน้าบิดเบี้ยวและคำด่าทอสาปแช่งเอาไว้ในใจ ก่อนจะหันหลังกลับ
“ชานาเนส”
เหลือเพียงใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของเวสติน ชูสส์ที่ผู้คนรู้จักกัน ทว่าสีหน้าของชานาเนสกลับดูไม่สดใสเอาเสียเลย
นางถือเอกสารปึกหนึ่งเอาไว้ในมือ ใบหน้าของชานาเนสที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเวสตินมีเงามืดพาดผ่าน
“พวกเรามาคุยกันหน่อยสิคะ”
น้ำเสียงเย็นชาของชานาเนสทำให้เวสตินลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในใจ
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา บทสนทนาระหว่างคู่สามีภริยามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...