เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

อันที่จริงมันเป็นหนังสือที่เธอตั้งใจซื้อเพื่อเก็บไว้มอบให้เครนีย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เพราะไม่ได้หวงแหนอะไรมากมายอยู่แล้ว เธอเลยไม่ได้สนใจที่หนังสือมีสภาพเละเทะแบบนั้น

แต่การที่รอยเท้าเต็มหน้ากระดาษนั่น มันเหมือนกับรอยเท้าที่ประทับอยู่บนเสื้อเชิ้ตของเครนีย์ มันทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อยากคิดว่าเครนีย์ไปทะเลาะกับใครมาหรือเปล่า แต่ดูจากขนาดของรอยเท้าแล้ว มันไม่ใช่ขนาดของเด็กวัยเดียวกับเครนีย์แน่นอน

มันเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ประมาณเท้าผู้ใหญ่ชัดๆ

“ใครทำเจ้าแบบนี้กัน”

เธอชี้ไปที่รอยเท้าขนาดใหญ่พลางถาม

“นะ…นี่…พะ พี่เบเลซักเขา…”

“เบเลซัก?”

ก็ว่าทำไมช่วงนี้ดูสงบเสงี่ยมจริง!

พอก้มลงไปมองให้ละเอียดถึงได้พบว่ามีกระทั่งรอยช้ำตามแขนของเครนีย์ด้วย

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่ามาให้ละเอียดเลยนะ เครนีย์”

“ฮึก! ก็แค่…ข้า ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่คนเดียวแต่…”

“แต่?”

“ฮือ ท่านพี่เบเลซักโผล่มา…ถามว่าหนังสืออะไร ฮึก! แล้ว แล้วก็…ข้าเลยบอกว่าของเทีย!”

มันค่อนข้างฟังได้ลำบากเพราะคำพูดเจือไปด้วยเสียงสะอื้น แต่เครนีย์ก็อธิบายออกมาได้ครบถ้วน

“เพราะงั้นเจ้าอ่านหนังสืออยู่คนเดียว แล้วเบเลซักก็โผล่มา พอรู้ว่าหนังสือที่เจ้าอ่านเป็นของข้า ก็ฉีกหนังสือทิ้งใช่หรือไม่”

“ฮืออ…”

“เจ้าพยายามขัดขวางก็เลยมีสภาพกลายเป็นแบบนี้”

“…อื้อ”

“เบเลซัก ไอ้ใจป๊อดรังแกคนไม่มีทางสู้!”

รู้สึกโมโหมากเสียจนก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ

“ไม่มีใครให้แกล้ง ก็เลยลงมือทำร้ายลูกพี่ลูกน้องที่ยังเด็กขนาดนี้เนี่ยนะ! ”

ไม่สิ ในชีวิตก่อน เจ้านั่นก็เป็นคนลงมือทำร้ายเธอแบบนั้นเหมือนกัน

เครนีย์ที่ยิ่งเด็กกว่าเธอในตอนนั้นย่อมไม่มีทางรอดปลอดภัยจากเงื้อมมือเจ้านั่นได้อยู่แล้ว

“พี่ชายของเจ้าล่ะ! อาสทัลลีอูมัวทำอะไรอยู่!”

“ยะ…ยืนอยู่ข้างๆ …”

“ไอ้โง่ไร้สมอง! น้องชายตัวเองถูกทำร้ายแท้ๆ !”

พอเธอโมโหเดือดด้วยความอัดอั้นตันใจ เครนีย์ที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้นอีกรอบ

ทั้งๆ ที่เด็กตัวเล็กๆ คนนี้ปกป้องหนังสือจนยอมถูกเหยียบ แต่คนที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองกลับเอาแต่ยืนนิ่งเฉย มองดูอยู่ข้างๆ ไม่ยอมช่วย

คงเสียใจมากทีเดียว

แต่เธอก็ยังตั้งใจดุเสียงเข้ม

“ฮึบเร็ว เลิกร้องไห้ได้แล้ว ร้องมาเยอะพอแล้วนะ หยุดร้อง”

“…ฮึบ”

เครนีย์กัดริมฝีปากล่างแน่น พยายามกลั้นเสียงร้องไห้เมื่อได้ยินเธอสั่งเช่นนั้น

เธออธิบายให้เครนีย์ที่มีสีหน้าสงบลงบ้างแล้วฟังอย่างใจเย็น

“เครนีย์ เจ้าคิดว่าหนังสือเล่มนี้ราคาเท่าไหร่”

“อืม ไม่รู้สิ…”

เพราะเขาไม่เคยได้ออกไปซื้อของข้างนอก จึงไม่มีประสบการณ์ทางด้านการคำนวณราคาข้าวของ

“เอาละหนังสือนี่น่ะ ข้าซื้อมาในราคาสี่เหรียญเงินแล้วเงินค่าขนมที่เจ้าได้ในแต่ละเดือนละ เท่าไหร่”

“หนึ่งเหรียญทอง”

ดูเหมือนคู่สามีภริยาลอเรนซ์กับโรเนสจะแบ่งเงินค่าขนมที่เครนีย์ควรได้รับให้เขาแค่ส่วนเดียวเท่านั้นสินะ

“อืม เพราะงั้นมันเป็นหนังสือที่สามารถใช้เงินค่าขนมของเจ้าซื้อแล้วยังเหลือเงินเลยนะ เจ้าแค่ไปซื้อเล่มใหม่มาคืนข้าก็หมดเรื่องแล้ว เพิ่มคำว่าขอโทษอีกสักคำก็ยิ่งดี”

“ตะ…แต่ว่า…”

“เพราะมันเป็นของที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บหรอก เข้าใจที่ข้าพูดมั้ย”

“อื้อ…”

“การปกป้องของที่หวงแหนมันเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ถึงยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเจ้า”

ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ นัยน์ตาที่ยังคงเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตากะพริบตามองเธอปริบๆ

เมื่อไม่นานมานี้เครนีย์อายุครบแปดขวบแล้ว เธอจึงให้คำแนะนำกับเขาหนักแน่นขึ้นอีกหน่อย

“ฟังให้ดีนะ เครนีย์ เจ้าคือลอมบาร์เดีย เป็นลอมบาร์เดียที่ไม่มีใครเทียบได้ ลอมบาร์เดียน่ะ เวลาโกรธเขาไม่วางมือ นั่งเฉยๆ ร้องไห้อยู่แบบนี้หรอกนะ พวกเราต้องแก้แค้นยังไงล่ะ”

“แก้แค้น…?”

“ใช่แล้วละแก้แค้น อย่างเท่าเทียมสาสมเลยด้วย”

ฟีเรนเทียไม่คิดที่จะปล่อยไอ้เบเลซักที่กล้าทำให้เด็กตัวเล็กๆ มีสภาพแบบนี้เอาไว้เฉยๆ หรอกนะ

เธอผู้เชี่ยวชาญในการสั่งสอนเบเลซักกับอาสทัลลีอูคนนี้ มั่นใจมากทีเดียวว่ารู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับสองคนนั่นดีกว่าที่พวกเขารู้จักตัวเองเสียอีก

แน่นอนว่ารู้กระทั่งจุดอ่อนของพวกนั้นด้วย

“แต่เครนีย์ เจ้ายังเด็กอยู่ เพราะฉะนั้นคราวนี้ข้าจะช่วยแก้แค้นแทนเจ้าให้เอง แต่ตั้งแต่ครั้งหน้าเจ้าจะเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่แบบนี้ไม่ได้นะ เข้าใจมั้ย”

“อื้อ อื้อ! เข้าใจแล้ว!”

เธอลูบหัวเครนีย์ ก่อนจะหันหลังหมุนตัวกลับไปหาบุคคลที่แอบฟังบทสนทนาของพวกเธอมาโดยตลอด

“ท่านปู่”

เสียงเรียกของเธอทำให้ท่านปู่ที่ซ่อนตัวครึ่งหนึ่งอยู่หลังต้นสนต้นหนาเดินออกมา

“ฮ่าฮ่า รู้อยู่แล้วหรอกเหรอเนี่ย”

ท่านปู่เลียริมฝีปาก คงจะรู้สึกอายอยู่เหมือนกันที่โดนจับได้ว่าแอบซ่อนตัวอยู่แต่เธอไม่ได้หัวเราะท่านปู่ที่ทำตัวเช่นนั้น

ท่านปู่สังเกตเห็นว่าเธอโมโหมากจริงๆ ท่านขมวดคิ้วแน่น กวาดสายตามองสำรวจสภาพของเครนีย์อย่างช้าๆ

“ข้ามีเรื่องอยากรบกวนค่ะ ท่านปู่”

“…ว่ามาสิ”

“อนุญาตให้ข้าพาเครนีย์ออกไปข้างนอกสักครู่ได้มั้ยคะ”

“หืม? แค่นั้นเองหรือ”

บางทีคงคิดว่าเธอจะขอร้องให้ ‘ช่วยตำหนิเบเลซักให้ทีนะคะ’ ละมั้ง ท่านปู่ถึงได้มีสีหน้าตกใจแบบนั้น

แต่เธอไม่คิดที่จะขออะไรง่ายๆ แบบนั้นหรอก

สิ่งที่ท่านปู่ลงมือทำได้ อย่างมากก็แค่ตำหนิเบเลซักอย่างรุนแรง หรือไม่ก็สั่งห้ามไม่ให้เขาออกไปข้างนอกประมาณหนึ่งอาทิตย์เท่านั้นมันเทียบกันไม่ได้กับการที่เจ้านั่นทำกับเครนีย์แบบนี้ ทั้งยังกล้าใช้เท้าทำให้หนังสือของเธอขาดเละเทะแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

เธอตั้งใจจะลงมือจัดการเบเลซักด้วยตัวเอง เหมือนอย่างที่สัญญาเอาไว้กับเครนีย์

“จะไปไหนล่ะ”

ท่านปู่ถามด้วยความสงสัย

“จะพาเด็กนี่ไปทานขนมหวานๆ หน่อยน่ะค่ะ”

ฟีเรนเทียชี้ไปที่เครนีย์ที่กำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตาอยู่พลางตอบ

“เอาเถอะ…”

เธอจับมือเครนีย์ พาเด็กน้อยขึ้นรถม้าคันที่เธอเพิ่งนั่งกลับมาเมื่อครู่ในทันที

แน่นอนว่าสถานที่ที่เธอพาเครนีย์มา ย่อมเป็นร้านขนมคาราเมล อเวนิวเจ้าประจำ

“เอ้า กินนี่ด้วยสิกินเยอะๆ จะได้รีบๆ โต เอาให้สูงกว่าจะได้มองกดข่มไอ้เบเลซักนั่นเลยนะ”

ฟีเรนเทียเลื่อนจานเค้กช็อกโกแลตกับนมไปให้ตรงหน้าเครนีย์ในขณะที่พูด

เธอจำได้ว่าเครนีย์ในอนาคตจะตัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ แตกต่างจากเบเลซักที่ถือว่าตัวค่อนข้างเตี้ยในหมู่พวกผู้ชาย

“แหะๆ อื้อ!”

เครนีย์ยิ้มชอบอกชอบใจด้วยนัยน์ตาสีแดง ทั้งๆ ที่ยังมีช็อกโกแลตเลอะอยู่ที่มุมปาก

เธอส่งผ้าเช็ดปากให้เครนีย์เอาไปเช็ดปากที่เลอะ แต่แล้วก็พลันได้ยินบทสนทนาที่ค่อนข้างพิเศษเล็กน้อย

“จะไม่ต่อสัญญาเช่าร้าน นั่นหมายความว่ายังไงกันครับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]