เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

บทที่ 97

ระหว่างที่ลอรีลปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำแค่ครู่เดียวฟีเรนเทียก็หายตัวไปแล้ว นางจึงเที่ยววิ่งตามหาไปทั่วคอกม้า ตอนนี้นางถึงค่อยรู้สึกโล่งใจได้หน่อย

นางตกใจมากทีเดียว กลัวว่าถ้าคุณหนูของนางโดนคนแปลกๆ ลักพาตัวไปจะทำเช่นไร

แต่ฟีเรนเทียที่ทำท่าเหมือนแค่สนทนาเรื่อยเปื่อย และเด็กชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งตรงหน้านี่ บรรยากาศระหว่างพวกเขากลับดูผิดปกติ

เมื่อมองเห็นใบหน้าของฟีเรนเทีย ลอรีลถึงกับเผลอผวาเฮือกโดยไม่รู้ตัวเพราะมันเป็นรอยยิ้มที่ฟีเรนเทียมักจะเผยให้เห็นเฉพาะยามที่เด็กคนนี้ไม่พอใจในอะไรสักอย่าง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”

ลอรีลถามอย่างระมัดระวัง

“เปล่าหรอก ก็แค่พวกท่านทั้งหลายตรงนี้ถามว่าข้าเป็นใครน่ะ”

“ค่ะ…แล้วทำไม…”

ถึงได้โมโหขนาดนั้นล่ะคะ

ลอรีลกลืนคำพูดท้ายประโยคกลับลงคอ

และเพียงไม่นานฟีเรนเทียก็ตอบ

“และพอเห็นข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ก็บอกว่าไม่ต้องฟังชื่อข้าก็ ‘เห็นชัด’ อยู่แล้ว”

“ทะ…ทำไมถึงได้เสียมารยาทแบบนั้น…”

ลอรีลรู้สึกสงสารเด็กผู้ชายที่ยืนกอดอกแน่น เชิดหน้าอย่างยิ่งยโสจริงๆ

คุณหนูผู้แสนน่ารัก ชาญฉลาด น่าเลื่อมใสที่สุดในโลกที่นางคอยดูแลรับใช้คนนี้ เกลียดคนประเภทชอบอวดอ้างบารมีของตระกูลมากที่สุด

ยิ่งพวกที่ชอบเสียมารยาททำตัวหยาบคายกับคนอื่นก็ยิ่งเกลียด

ลอรีลคาดเดาว่าคงจะได้รับอิทธิพลจากพวกลูกพี่ลูกน้องละมั้ง แต่นางก็ได้แต่สันนิษฐานไปอย่างระมัดระวังเท่านั้น

“เห็นว่าท่านนี้เป็นคนของตระกูลอังเกนัส คาเซย์ อังเกนัสใช่มั้ยนะ”

“อา…”

ลอรีลส่งเสียงร้องครางด้วยความสงสาร

หากเป็นคนจากตระกูลอังเกนัสแล้วละก็ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ลอรีลจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออะไรได้แล้วละ

นางยกมือยอมแพ้ในขณะที่ก้าวถอยไปข้างหลังครึ่งก้าว

“สวัสดีครับ คุณหนูดิลลาร์ด”

เด็กผู้ชายซึ่งจนถึงเมื่อครู่ยังยืนทำหน้าบึ้งตึงใส่ฟีเรนเทีย หันมาทักทายลอรีลด้วยน้ำเสียงค่อนข้างให้ความเคารพมากพอควร

พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว ลอรีลรู้สึกว่านางเคยเห็นใบหน้านี้อยู่บ้างหลายครั้งเหมือนกัน

“คนคนนี้เป็นแขกของคุณหนูดิลลาร์ดหรือครับ”

“แขก…”

ลอรีลลังเลไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปว่าอย่างไร

สถานที่แห่งนี้เป็นคลับประเภทหนึ่งที่กำหนดให้มีเพียงสมาชิกเท่านั้นที่เข้ามาได้ ซึ่งฟีเรนเทียเองก็เข้ามาในฐานะแขกทั่วไป

แต่ที่ดินผืนนี้ที่ใช้สร้างคอกม้าให้ชนชั้นสูงได้มารวมตัวกัน เป็นที่ดินของลอมบาร์เดียทั้งสิ้น

ในตอนนั้นเอง ฟีเรนเทียก็ชิงตัดหน้าพูดขึ้นก่อน

“ตระกูลของข้าสนิทกับตระกูลดิลลาร์ดน่ะ”

ลอรีลหันไปมองฟีเรนเทียด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน แต่ฟีเรนเทียเพียงแค่ยิ้มเจ้าเล่ห์ตอบกลับไปเท่านั้น

เพราะเรื่องที่ลอมบาร์เดียสนิทกับดิลลาร์ด ไม่ถือว่าเป็นเรื่องโกหกเสียทีเดียว

“ฮึ่ม ข้าไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักหรอกนะครับ ที่มีบุคคลตัวตนไม่แน่ชัดมาเดินเพ่นพ่านอยู่แถวนี้”

ท่าทางเย่อหยิ่ง วางท่าราวกับคอกม้าแห่งนี้เป็นสมบัติของตัวเอง มันทำให้ลอรีลรู้สึกรำคาญสายตาขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

หลังจากพูดออกมาแบบนั้น เด็กผู้ชายคนนั้นก็พูดกับเทียราวกับว่าตัวเองเป็นคนใจกว้างเสียเต็มประดา

“ข้าจะให้โอกาสสำนึกผิดที่เจ้าทำตัวเสียมารยาทเมื่อครู่ก็แล้วกัน พวกเรากำลังจะไปพอดี งั้นข้าจะยอมอนุญาตให้เจ้าเข้าร่วมงานน้ำชาของพวกเราก็ได้”

“ให้ไปดื่มชากับพวกเจ้า?”

“อา ไม่จำเป็นต้องขอบอกขอบใจกันหรอก พวกเราเป็นคนใจกว้างกันอยู่แล้ว…”

“ทำไม”

ฟีเรนเทียเอียงคอ ก่อนจะถามราวกับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไร

“บ่นโน่นนี่ว่าคนที่ตัวตนไม่ชัดเจนอย่างข้ามันอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้เชิญไปงานเลี้ยงน้ำชาล่ะ”

“ระ…เรื่องนั้น…”

ลอรีลจับตามองคาเซย์ อังเกนัสที่ตื่นตระหนกไปครู่หนึ่ง แต่แล้วนางก็ต้องกลืนเสียงร้อง ‘อ๊า’ กลับลงคอ

ก็ท่าทางเชิดหน้าคอตั้งเสียจนเส้นเลือดปูดโปนนั่นมันแปลกพิกล เด็กคนนี้ตอบคำถามของฟีเรนเทียไม่ได้ ทั้งยังเอาแต่เงอะงะ ใบหูก็แดงเถือกไปหมด

ท่าทางจะวางแผนชวนคุยโดยโอ้อวดอำนาจตระกูลของตัวเอง หลังจากที่เห็นว่าฟีเรนเทียหน้าตาน่ารักน่ะสิ

เหล่านายน้อยผู้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างผิดๆ จนไร้มารยาทพวกนี้ ทำพลาดอย่างใหญ่หลวงเสียแล้ว

ในตอนนั้นเอง

“อะไรกัน ทำไมมาอยู่ที่นี่กันหมดเลย”

“มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

คิลลีวูกับเมโลนที่ตัวสูงใหญ่ปราดเปรียวสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

“คะ…คู่แฝดลอมบาร์เดีย…”

คอของคาเซย์ อังเกนัสที่เมื่อครู่ยังเชิดรั้นชูตระหง่านพลันหดลู่ลงทันที ทั้งยังผวาไปเฮือกใหญ่

สองแฝดนี่มีนิสัยพูดจาโผงผาง แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และเหนือสิ่งใดคือ พวกเขาเป็นบุตรหลานสายตรงของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย จึงมีอำนาจที่ใครๆ ก็เอื้อมไม่ถึง

เพราะอย่างนั้นจึงเป็นตัวตนที่ทุกคนได้แต่หวาดกลัวและไม่กล้าต่อกรด้วย

และไหนจะร่างกายสูงใหญ่นั่นอีก มันทำให้พวกเขารู้สึกถูกกดข่มด้วยความเหนือชั้นกว่าของอีกฝ่าย

“มาทางนี้ทำไม…”

ใครบางคนในกลุ่มพึมพำเสียงแผ่ว

พวกเขาต่างคิดเหมือนกันหมดโดยไม่ต้องมองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ

พูดกันตามตรง สองแฝดตระกูลลอมบาร์เดียเป็นตัวตนที่น่ากลัวมาก

พวกเขาไม่ ‘ทำตัวเสแสร้ง’ เหมือนพวกตน แต่เป็นเจ้าของตัวจริงของคอกม้าแห่งนี้

“คิลลีวู เมโลน”

แต่แล้วเด็กผู้หญิงที่พวกเขาเมินเฉยกลับเรียกพวกนั้นอย่างสนิทสนม มันทำให้พวกเขาได้แต่ตกใจจนเกือบหงายหลัง

“พวกนี้ชวนข้าไปดื่มชาน่ะ”

ฟีเรนเทียชี้นิ้วไปยังเด็กกลุ่มตรงหน้าพลางพูดขึ้น

เพียงพริบตา สีหน้าของสองแฝดก็เปลี่ยนเป็นชั่วร้ายในทันที

สายตาที่จ้องเขม็งมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงนั่น ทำให้ทั้งกลุ่มผงะจนก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

“อะไรกัน พวกกากเดนอังเกนัสไม่ใช่เหรอนั่น”

“พวกเจ้ากล้ายืนขวางหน้าชวนเทียของพวกเราไปดื่มชา?”

เจอนักเลงท้ายซอยยังไม่น่ากลัวเท่านี้เลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]