เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 36

สรุปบท ตอนที่ 36.1: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอน ตอนที่ 36.1 จาก เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 36.1 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายแฟนตาซี เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล ตอนที่ 36.1
ตอนที่ 36.1

บทที่ 36

อา เรื่องนั้นมันเริ่มตอนนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ

เธอลองค้นดูความทรงจำของตัวเอง

ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเมื่อชาติก่อนก็เริ่มช่วงประมาณนี้เหมือนกัน

เบเลซักเริ่มแวะเวียนไปยังพระราชวังอย่างเต็มตัว ในฐานะเพื่อนเล่นของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง

ที่จริงมันไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเพราะอาสทาน่ากับเบเลซักสนิทสนมอะไรกันขนาดนั้นหรอก

เจ้าชายอาสทาน่าน่ะ มองเบเลซักเป็นแค่กากเดนน่ารำคาญตัวหนึ่ง ย่อมไม่มีทางมีความรู้สึกพวกมิตรภาพกับเขาแน่

คงจะเป็นจุดประสงค์ทางด้านการเมืองเสียมากกว่า

“อิจฉาใช่มั้ยล่ะ”

เบเลซักพูดอวดเหล่าลูกพี่ลูกน้องที่นั่งอยู่บนโต๊ะรวมถึงเธอ

“เปล่า”

“ไม่อิจฉาเลยสักนิด”

“เล่นกับหมอนั่นที่นิสัยสกปรก ทุเรศแบบนั้น ทำไมจะต้องอิจฉาด้วย”

“เจ้านั่นทำตัวแย่กับเทียอีกต่างหาก”

สองแฝดเอ่ยตอบเสียงเอื่อย

ท่าทางสองคนนี้จะพูดจากใจจริง

เพราะสำหรับเด็กตระกูลลอมบาร์เดียแล้ว พระราชวังที่ทั้งจุกจิกทั้งเจ้าระเบียบไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่นที่น่าดึงดูดใจอะไรขนาดนั้นหรอกแต่สำหรับตระกูลชั้นสูงตระกูลอื่นจะเห็นเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ

“หึ โกหก ทุกคนก็อิจฉากันทั้งนั้น!”

สงสัยคงจะเที่ยวไปโอ้อวดข่าวนี่ตามงานสังคมมาหลายแห่งแล้วละมั้งนั่นก็คงเป็นสิ่งที่คู่สามีภรรยาเบเจอร์กับเซรัลต้องการ

แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดต่อหน้าคนอื่นเฉยๆ

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างคู่สามีภริยาเบเจอร์กับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งและจักรพรรดินี

“เพราะฉะนั้นเลือดผสม เจ้า”

เบเลซักใช้ส้อมปลายแหลมชี้มาที่เธอซึ่งนั่งนิ่งไม่พูดอะไรพลางเอ่ยพูด

“ต่อไปเชื่อฟังคำพูดของข้าก็น่าจะดีกว่านะ เชื่อฟังกันให้เหมือนเมื่อก่อน”

ว่าไงนะ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งใครมันจะไปอิจฉากันไอ้โง่นั่นยังไงก็ถูกเจ้าชายลำดับที่สองลากไปสนามรบอยู่แล้ว

แต่ฟีเรนเทียไม่ชอบเห็นท่าทางหยิ่งยโสของเบเลซักผู้ไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะกลายเป็นเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน

เธอไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ทาเนยลงบนขนมปังอยู่เงียบๆ ค่อยๆ ทาอย่างประณีต

และฟีเรนเทียก็ยกมันชูขึ้นสูง

ผงะ!

เบเลซักที่กำลังมองเธออยู่ก็ถึงกับผวาเฮือก

ทว่าเธอยัดขนมปังทาเนยใส่ปากให้เบเลซักได้เห็น กัดมันคำโต

ในตอนนั้นเองใบหน้าของเบเลซักที่เพิ่งจะประเมินสถานการณ์ออกถึงได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เธอแลบลิ้นเลียเศษขนมปังที่เลอะติดปากไปพลาง ตั้งใจพูดเสียงดัง

“ขี้ขลาด”

จากนั้นฟีเรนเทียก็ได้ยินเสียงสองแฝดที่นั่งประกบอยู่สองฝั่งหัวเราะเสียงดังคิกคัก

ส่วนอาสทัลลีอูส่งสีหน้าแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อไปทางเบเลซัก ท่าทางจะผิดหวังในตัวหมอนั่นเล็กน้อย

โธ่ เด็กเอ๋ยเด็ก

ตอนนั้นเองประตูห้องจัดงานเลี้ยงเอเลนอยด์ก็ถูกเปิดออก ตามด้วยท่านปู่ที่เดินเข้ามาในห้อง

ท่านปู่เหลือบมองหลานชายหลานสาวที่นั่งล้อมวงกันอยู่หนึ่งครั้ง แล้วเดินมุ่งตรงไปยังโต๊ะตัวใหญ่

พวกผู้ใหญ่ลุกขึ้นจากที่นั่ง กล่าวทักทายต้อนรับท่านปู่

ในที่สุดงานเลี้ยงครอบครัวก็เริ่มต้นขึ้นเสียที

ถึงเธอนั่งเงียบปิดปากแน่น เอียงหูแอบฟังบทสนทนาที่ได้ยินดังมาจากทางฝั่งโต๊ะตัวใหญ่

“เห็นพวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้แล้ว รู้สึกอารมณ์ดีทีเดียวนะ”

รูลลักมองบุตรชายบุตรสาวที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันกับคู่สมรสของพวกเขา พลางเอ่ยพูดด้วยความพึงพอใจ

“ขอบคุณที่อนุญาตให้เบเลซักเข้าวังครับ”

คนที่มีปฏิกิริยาต่อคำพูดนั้นเป็นคนแรกคือเวสติน

“ดูเหมือนจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นดีนะ น้องเขย”

“เพราะท่านพ่อน่ะครับ”

เบเจอร์ให้เกียรติมอบความดีความชอบทั้งหมดไปที่รูลลัก

“ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตแล้วละก็ เบเลซักคงต้องรออีกหลายเดือนกว่าจะอายุสิบเอ็ดนี่ครับ”

ขนาดเบเจอร์ที่เป็นคนจู้จี้ ยังดูมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเวสตินเลย

แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเวสตินที่เป็นคนห่ามๆ นั้นเป็นพวกยอมนอบน้อมทั้งยังหน้าด้านไม่ว่าจะเจอใครก็ตามก็เป็นได้

แน่นอนว่าในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ อาจจะมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น

รูลลักดื่มไวน์องุ่นสีแดงลงคอโดยไม่พูดอะไร ในขณะเดียวกันก็เฝ้ามองบทสนทนารับส่งบนโต๊ะไปด้วย

“โล่งอกมากทีเดียวที่ท่านพ่อช่วยยกเว้นให้เป็นพิเศษเพื่อเบเลซักของพวกเรา”

เซรัลหัวเราะพลางเน้นคำว่า ‘ยกเว้นให้เป็นพิเศษ’

เด็กตระกูลลอมบาร์เดียไม่สามารถออกไปนอกคฤหาสน์ได้อย่างอิสระจนกว่าจะอายุครบสิบเอ็ดขวบ

หมายความว่าเบเลซักได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าใคร เพื่อให้เขาสามารถเดินทางไปยังพระราชวังได้ก่อนวัย

“ถึงขนาดต้องบอกว่ายกเว้นเป็นพิเศษเชียว”

ชานาเนสพูดเสียงเบาแต่ช่างแสนเย็นชา

ในขณะเดียวกัน แพขนตายาวของเซรัลก็สั่นระริก

แต่ก็ยังไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเถียงอะไรออกไป

ในบรรดาบุตรชายทั้งสามของรูลลัก ไม่มีใครคนไหนกล้าต่อต้านชานาเนส

เหล่าคู่สมรสของพวกเขาเองก็เช่นเดียวกัน

Related

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]