เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

ตอนที่ 132

เบเจอร์เป็นฝ่ายกระทืบเท้าเสียงดังตึงตังเดินเข้าไปด้านในห้องก่อน

ตุบ

ท่าทางยามกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงกลางเสียงดังราวกับจงใจนั่น ทำให้ชานาเนสได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเอือมระอา

เก้าอี้ถูกจัดเตรียมไว้ทั้งหมดสี่ตัวก็จริง แต่คนที่มาเข้าร่วมการประชุมในวันนี้มีเพียงชานาเนสกับเบเจอร์แค่สองคนเท่านั้น

ชานาเนสนั่งลงบนเก้าอี้ที่เว้นห่างจากเบเจอร์ไปหนึ่งตัวเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถาม

“วันนี้ลอเรนซ์ก็ไม่มาอีกแล้วหรือ”

“มาตอนนี้ก็ไม่ได้ดูดีขึ้นในสายตาท่านพ่ออยู่แล้ว จะให้ลอเรนซ์มาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ”

“ไม่ใช่เพื่อให้ดูดีอย่างเดียวเสียหน่อย…เฮ้อ เอาเถอะ ถ้าเจ้าตัวไม่อยากมาก็ช่วยไม่ได้”

“แคลอฮันก็ไม่มาเหมือนกัน แล้วทำไมพูดถึงแต่ลอเรนซ์แบบนั้นล่ะครับ”

เบเจอร์ราดน้ำมันใส่บทสนทนาที่ควรจะปิดฉากลง

“แคลอฮันเดินทางลงไปยังเชซายูเพื่อดูแลเขตแดนของเขาไม่ใช่หรือไงแตกต่างจากคนที่อยู่ในคฤหาสน์แท้ๆ แต่กลับไม่มาเข้าร่วมการประชุมอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้วนะ เบเจอร์”

“ถ้ามีเขตแดนเป็นของตัวเอง ก็น่าจะเดินทางไปอาศัยที่นั่นไปเลยสิครับ ไม่ใช่เอาแต่ผลาญเงินทองของลอมบาร์เดีย ไม่ถูกหรือไงครับ”

แต่แล้วในจังหวะที่เบเจอร์ตั้งใจจะตวาดเสียงลั่นเถียงชานาเนสอย่างไร้เหตุผล

“เงินของลอมบาร์เดีย ไม่ใช่ธุระให้เจ้าต้องมานั่งกังวลหรอก”

“ท่านพ่อ”

รูลลักเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะจ้องเบเจอร์ด้วยนัยน์ตาคมกริบ

“เจ้าที่ทอดทิ้งลอมบาร์เดียอย่างไร้เหตุผลไปอยู่ที่อังเกนัสกว่าหนึ่งปีนั่น ข้าก็ยังยอมรับไม่ว่าอะไรไม่ใช่หรือไง”

เบเจอร์ไม่อาจโต้แย้งคำพูดของรูลลักได้สักคำ เขาได้แต่กัดฟันกรอด

รูลลักหันไปมองเบเจอร์ที่ทำตัวเช่นนั้นด้วยความไม่พอใจสักเท่าไหร่ แล้วหันกลับมาเริ่มเปิดการประชุม

การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทั้งสองคน เกี่ยวกับเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในตระกูลตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์

การประชุมกินเวลาไม่นานนัก

และเมื่อการประชุมอันแสนสั้นสิ้นสุดลง รูลลักก็เอ่ยขึ้นว่า

“พวกเจ้าทั้งสองคนก็คงได้ยินเรื่องที่ฟีเรนเทียจะร่วมมือกับตระกูลเดวอน ช่วยกันเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนกิจการแล้วสินะ”

ในขณะเดียวกันเบเจอร์ก็พ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึด้วยความไม่พอใจ

“…มีอะไรอยากจะพูดงั้นหรือ เบเจอร์”

“ความเห็นของข้าจะไปสำคัญอะไรล่ะครับ แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อก็เอาแต่เข้าข้างนัง…ไม่สิ เด็กคนนั้นอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็คงยอมปิดตามองผ่านไม่ใช่หรือไงครับ”

“ข้าเข้าข้างอย่างนั้นหรือ อืม ก็อาจจะใช่”

รอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนมุมปากของรูลลักยามพูดถึงฟีเรนเทีย

เบเจอร์ขมวดคิ้วมองภาพนั้น ก่อนจะเบือนสายตาไปด้านข้าง

“เบเจอร์ เจ้าคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว ครั้งนี้ข้าก็คิดที่จะเชื่อมั่นในตัวเด็กคนนั้น”

เชื่อมั่นอย่างนั้นหรือ

เบเจอร์พร่ำบ่นอยู่ในใจ

บิดาของเบเจอร์ไม่เคยเชื่อใจในตัวเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวแล้วนังเด็กนั่นมันมีดีอะไรกัน

ในบรรดาตระกูลใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ตระกูลเดวอนเป็นตระกูลที่ถือว่าตกต่ำที่สุดแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่านังนั่นจะไปร่วมมือทำอะไรกับคนพวกนั้นได้ บางทีเขาน่าจะลองเข้าไปขัดแข้งขัดขาดูสักหน่อยดีมั้ยนะ

แต่แล้วในตอนที่เบเจอร์เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไร

รูลลักที่ลอบมองเขาอยู่ก่อนแล้วก็เอ่ยเตือนเสียงทุ้มหนึ่งประโยค

“ดังนั้นอย่าได้เข้าไปยุ่มย่ามกับฟีเรนเทีย”

เบเจอร์สะดุ้งเฮือก รีบร้อนหลบสายตาอย่างรวดเร็ว

การประชุมจบลงเช่นนั้น เบเจอร์กับชานาเนสเดินออกมาจากห้องทำงานถึงแม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่ระหว่างทั้งสองคนกลับไม่มีบทสนทนาด้วยความรักใคร่อย่างที่พี่น้องสมควรกระทำอีกทั้งยังมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมันบิดเบี้ยวไปหมด

แต่แล้วเมื่อเดินมาถึงปลายโถงทางเดิน เบเจอร์ก็เอ่ยเรียกชานาเนสเอาไว้

“คิดจะปล่อยบุตรสาวของแคลอฮันเอาไว้เฉยๆ หรือครับ ท่านพี่”

“ถ้าไม่ปล่อยไปแล้วยังไงล่ะ เจ้าเองก็ได้ยินคำสั่งของท่านพ่อไม่ใช่หรือไง”

“แต่ว่า!”

เบเจอร์เผลอขึ้นเสียงสูงโดยไม่รู้ตัว เขารีบหันไปมองห้องทำงานของรูลลักที่อยู่อีกฟากของทางเดิน ก่อนจะเอ่ยต่อ

“เรื่องนี้มันไม่ต่างกับการสร้างความเสื่อมเสียให้ชื่อตระกูลเลยนะครับ คนอื่นๆ จะพานหัวเราะเยาะกันหมด! ว่าเด็กตระกูลลอมบาร์เดียเอาแต่ใช้อำนาจตระกูลอวดเบ่งไปเรื่อย!”

“…อะไรนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ชานาเนสเบิกตากว้าง ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น

เบเจอร์ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น เขาพูดอะไรผิดไป เหตุใดชานาเนสถึงได้หัวเราะเช่นนั้นกัน เขาได้แต่เหม่อมองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

“ฮ่าฮ่า! เบเจอร์! พูดอะไรน่าขันเสียจริงนะ! เจ้าเนี่ยนะเป็นห่วงชื่อเสียงของตระกูลว่าจะเสื่อมเสียเพราะ ‘มีคนเอาแต่ใช้อำนาจตระกูลลอมบาร์เดียอวดเบ่งไปเรื่อย’ ! เจ้าเนี่ยนะ!”

“จะบอกว่าข้าเองก็เอาแต่พึ่งพาในอำนาจของตระกูล อวดเบ่งไปทั่วอย่างไร้หัวคิดหรือครับ”

เบเจอร์กัดฟันกรอดเมื่อในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงเหตุผลที่ชานาเนสหัวเราะ

แต่ชานาเนสซับน้ำตาที่ไหลออกมาบริเวณหางตา ขณะเดียวกันก็ยังคงไม่หยุดขำ

“เพราะเจ้าแท้ๆ ข้าเลยหัวเราะได้หลังจากไม่ได้หัวเราะมาเสียนานเอาละเบเจอร์ การเข้าไปจัดการกิจการของตระกูลมันเป็นสิทธิ์ของเทีย ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่มย่ามอะไรได้หรอกนะ”

คำพูดราบเรียบของชานาเนสทำให้เบเจอร์ต้องคัดค้านเสียงดังด้วยความไม่พอใจ

“ท่านพี่ไม่แม้แต่จะรู้สึกไม่พอใจเลยไม่ใช่หรือครับ!ทั้งๆ ที่ก็ทราบดีไม่ใช่หรือว่าการใช้สิทธิ์ของผู้สืบทอดมันมีความหมายว่ายังไง! แถมยังเป็นนังเด็กน่ารังเกียจนั่นอีก!”

“เจ้าคงจะกลัวมากเลยสิท่า กลัวว่าเด็กคนนั้นจะเข้ามาแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเจ้าตระกูลคนถัดไปกับพวกเรา”

“กลัวอะไรกันครับ ใครกลัวใครกัน เหอะ!คู่ต่อสู้อย่างนั้นหรือ! ข้าพูดถึงเรื่องฐานะต่างหากล่ะครับ ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวทั้งๆ ที่เป็นแค่เลือดผสม แต่กลับเสนอหน้าแบบนี้มันอะไรกัน!”

“เฮ้อ…”

ชานาเนสถอนหายใจมองเบเจอร์พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“เบเจอร์ข้าขอแนะนำจากใจจริงเพื่อตัวเจ้าเอง อย่าได้คิดจะขวางทางเด็กคนนั้น เจ้าไปสนใจทำงานทำการของตัวเองให้มันดีเถอะ นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เจ้ามีโอกาสชนะได้”

ชานาเนสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะหันหลังเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน

เบเจอร์ถ่มน้ำลายลงพื้น ในขณะที่มองภาพด้านหลังของหญิงสาวที่เดินจากไปตามโถงทางเดินอย่างสง่างาม

“ทำเป็นหยิ่ง”

และเขาก็หมุนตัวเดินจากไปอีกด้านทั้งๆ ที่ยังโมโหจนหอบแฮก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]