เฟเรสกระโดดขึ้นม้าเพื่อเดินทางออกจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งจึงหันหลังกลับไปมอง
เทียกำลังโบกมือให้เฟเรสจากหน้าต่างห้องตัวเอง
“บ๊ายบาย เทีย”
ทั้งๆ ที่ไม่มีทางได้ยินไปถึงสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปขนาดนั้น แต่เฟเรสก็ยังโบกมือตอบกลับไปในขณะที่กล่าวลา
“ไปกันเถอะ”
เฟเรสลูบแผงคอม้าอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระตุ้นให้มันออกตัววิ่ง
กุบกับ กุบกับเสียงกีบเท้าม้ากระทบผืนดินดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มที่วิ่งออกมาพ้นเขตแดนลอมบาร์เดีย
สายลมเย็นฉ่ำพัดกระทบใบหน้า แต่เฟเรสไม่คิดที่จะลดความระมัดระวังลงเลยแม้แต่น้อย
เขาทราบดีว่าสถานการณ์อย่างตอนนี้ที่กำลังควบม้าวิ่งอยู่ตามลำพังบนถนนเปลี่ยวไร้ผู้คน มันเป็นเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุดในการบุกเข้าโจมตี
โล่งอกที่จนถึงเมืองหลวง ระหว่างทางเขาเพียงแค่เจอรถม้าขนสัมภาระของกลุ่มการค้าไม่กี่คันเท่านั้น
ไม่ได้เกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น
แต่หลังจากเข้าสู่เขตเมืองหลวง เฟเรสก็ยังคงควบม้าวิ่งวนไปเรื่อย
หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตามหลังเขามา เฟเรสจึงค่อยควบม้าวิ่งไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา
เฟเรสเดินขึ้นไปยังห้องพักบนชั้น 2 ด้วยความคุ้นเคย และได้พบกับคนสองคนที่กำลังรอเขาอยู่
“โนเชียร์ ริกนีเต้”
ริกนีเต้ซึ่งสวมใส่ชุดที่สามารถใช้ปะปนเข้าไปในหมู่สามัญชนได้อย่างแนบเนียน และชายวัยกลางคนดูแล้วค่อนข้างฉลาดทั้งยังสะอาดสะอ้านกล่าวต้อนรับเฟเรส
“งานไปถึงไหนแล้ว โนเชียร์”
เฟเรสเอ่ยถามเสียงแห้งผากต่างจากตอนที่อยู่ด้วยกันกับฟีเรนเทียเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“เป็นไปตามที่เจ้าชายคาดการณ์ไว้ อังเกนัสได้ติดต่อเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาบอกว่าอยากขอซื้อต้นทรีบ้าจากพวกเรา”
“สมกับเป็นเฟเรสจริงๆ !”
ริกนีเต้ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ แต่เฟเรสยังคงนิ่งสงบเหมือนเคย
“ข้าจบการศึกษาจากอะคาเดมี เดินทางกลับมาเมืองหลวง ทั้งยังได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ ในสถานการณ์แบบนั้นสิ่งที่จักรพรรดินีจะลงมือทำได้ก็เห็นๆ กันอยู่”
“แต่ก็อาจจะใช้วิธีอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือไง”
เฟเรสส่ายหน้าให้กับคำพูดของริกนีเต้
“จักรพรรดินีเป็นคนที่ยึดติดในศักดิ์ศรี และยึดติดอยู่กับตระกูลของตัวเองมากพอๆ กับที่ต้องการผลักดันให้อาสทาน่าขึ้นเป็นรัชทายาท การพัฒนาเขตแดนอังเกนัสเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จักรพรรดินีจะคิดได้แล้วละบางทีถ้าเป็นข้าก็คงจะเลือกทางนี้เหมือนกัน”
“ถ้างั้น…จะทำยังไงดีพ่ะย่ะค่ะ”
โนเชียร์เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ก็ต้องขายสิ”
เฟเรสตอบอย่างรวดเร็ว
“…จะไม่เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โนเชียร์ยังคงกังวลเหมือนเคย
เขาทำงานให้กับกลุ่มการค้ามาตลอดชีวิต แต่ก็ได้แค่หาเงินเติมเต็มปากท้องของผู้อื่นเท่านั้น
และในที่สุดก็ได้แยกตัวออกมาก่อตั้งกลุ่มการค้าของตัวเองด้วยวัยกว่าสี่สิบปี แต่สุดท้ายก็ยังต้องสูญเสียทุกอย่างไป
หลังจากนั้นเจ้าของกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ที่โนเชียร์เคยทำงานด้วย ก็จงใจทำลายกลุ่มการค้าเกิดใหม่ของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารวบรวมมาทั้งชีวิตปลิวหลุดลอยหายไป คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเขาที่กำลังจมอยู่กับความโศกเศร้าก็คือเฟเรส
ถึงแม้อายุของอีกฝ่ายจะอ่อนเยาว์จนเป็นบุตรของเขาได้เลย แต่โนเชียร์ก็นับถือเฟเรสจากใจจริง
ดังนั้นหากเป็นคำพูดของเฟเรสละก็ เขาย่อมคล้อยตามโดยไม่คิดโต้แย้งใดๆ
แต่สำหรับเรื่องในครั้งนี้ เขารู้สึกกังวลมากจริงๆ
“ต้นทรีบ้าที่ทางกลุ่มการค้าโมนัคขายให้ จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาที่ดินของอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ และมันจะทำให้อำนาจของอังเกนัสเพิ่มขึ้นด้วย”
“ก็จริงนะเฟเรส ที่โนเชียร์พูดมาก็ถูกอยู่”
ริกนีเต้ที่อยู่ข้างๆ เองก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ถ้าผิดพลาดอะไรไป อาจจะกลายเป็นว่าพวกเรายื่นมือไปช่วยพวกอังเกนัสด้วยมือของพวกเราเองก็ได้”
แต่ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นกังวลแค่ไหน เฟเรสกลับไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงแค่เอ่ยตอบไปด้วยเสียงแห้งผากเท่านั้น
“ทางภาคตะวันตกไม่มีทางเหลือแค่ผืนดินของอังเกนัสได้ตลอดไปอยู่แล้ว”
และหันหลังกลับไปเอ่ยถามโนเชียร์
“ปริมาณที่พวกเราสามารถหาซื้อได้ในอนาคตมีเท่าไหร่”
“หากเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันแล้วละก็ ก่อนฤดูใบไม้ร่วงจะมาถึง ก็น่าจะกว้านซื้อได้เท่ากับจำนวนที่รวบรวมมาได้ถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสใช้ปลายนิ้วเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ ครุ่นคิดในคำตอบของโนเชียร์
ก๊อก ก๊อก
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงนิ้วมือกระทบไม้อย่างสม่ำเสมอเป็นจังหวะก็หยุดลง ก่อนที่เฟเรสจะเอ่ยขึ้นว่า
“เริ่มขายสิบส่วนจากปริมาณที่พวกเราครอบครองอยู่ในตอนนี้ให้พวกอังเกนัสก็แล้วกัน ยังไงพวกเราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นยอดเงิน…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...