เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

ตอนที่ 137

พระอาทิตย์คล้อยต่ำย้อมท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงส้ม แต่วังของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งยังคงมีแขกมาเยี่ยมเยือน

พวกเขาคือเจ้าตระกูลบาราพอร์ท หนึ่งในตระกูลใต้บังคับบัญชาชื่อดังของอังเกนัส และผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลอังเกนัส หรือน้องชายของจักรพรรดินีนามว่าดิวอิจนั่นเอง

“ฮู่ว…”

ดิวอิจ อังเกนัสนวดรอบนัยน์ตาเหนื่อยล้าไปมาพลางถอนหายใจเสียงดัง

เจ้าตระกูลบาราพอร์ทที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็แอบเบือนสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะดื่มน้ำดับกระหายลำคอที่เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาหน่อยๆ

“ทั้งสองคนดูจะเหนื่อยนะ พอแค่นี้ก็ได้ละมั้ง”

อาสทาน่าเอ่ยกับดิวอิจและเจ้าตระกูลบาราพอร์ทแต่ดิวอิจกลับส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ยังเหลืออีกหลายเรื่องที่ยังต้องศึกษาเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจ อังเกนัส กับเจ้าตระกูลบาราพอร์ทกำลังช่วยอาสทาน่าเตรียมตัวสำหรับการประชุมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันให้หลัง

ไม่สิ พูดตามตรงนี่ก็ไม่ต่างอันใดกับการบอกคำตอบที่ถูกต้องสำหรับคำถามที่รู้อยู่แล้ว ให้ได้รู้ไว้ล่วงหน้านั่นแหละ

พวกเขากำลังบอกความเห็นหลักๆ เกี่ยวกับฎีกาสำคัญที่จะถูกพูดถึงในการประชุม รวมถึงเนื้อหาสำคัญที่กลุ่มอำนาจฝ่ายอังเกนัสจะเป็นคนเปิดประเด็นในที่ประชุมนั่นเอง

“หาว…”

แต่อาสทาน่ากลับเอาแต่หาว ไม่ก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา ไม่คิดเก็บซ่อนความเบื่อหน่ายเกียจคร้านเลยสักนิด

ตอนแรกก็ดูจะกระตือรือร้นอยู่หรอก แต่พอพวกเขาร่ายเนื้อหาทางการเมืองอันแสนซับซ้อนออกไปให้ฟัง แค่ครู่เดียวก็หมดความสนใจเสียแล้ว

ถึงแม้พวกเขาจะใช้เวลาหลายชั่วโมงช่วยสอนอาสทาน่าตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะจักรพรรดินีเป็นคนไหว้วานขอให้มาช่วยก็เถอะ

แต่ความอดทนของดิวอิจเองก็ถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน

“เจ้าชาย”

สุดท้ายดิวอิจก็เอ่ยเรียกอาสทาน่าเสียงเข้มงวด

“ทรงอย่าลืมนะพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่การประชุมใหญ่ครั้งหน้าเจ้าชายลำดับที่สองเองก็จะเข้าร่วมด้วย”

คำพูดของดิวอิจ อังเกนัส ทำให้อาสทาน่าขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเหลือบมองเจ้าตระกูลบาราพอร์ทที่นั่งอยู่ข้างตน แล้วเอ่ยพูดเสียงบึ้งตึง

“แล้วไง มันเกี่ยวอะไรกับการเรียนอันแสนน่าเบื่อนี่กัน”

“…เจ้าชายลำดับที่สองเป็นคนหัวดีมากพ่ะย่ะค่ะดูจากที่จบการศึกษาจากอะคาเดมีด้วยอันดับท็อปก็รู้ได้แล้ว บางทีในการประชุมครั้งหน้าอาจจะสร้างความประทับใจให้ฝ่าบาทกับขุนนางคนอื่นๆ ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจเอ่ยว่าด้วยความเหลืออดเต็มทนแต่อาสทาน่ากลับยังคงไม่รู้สำนึก

“ต่อให้ไอ้ชั้นต่ำนั่นมันพูดไม่กี่คำแล้วซื้อความดีความชอบจากฝ่าบาทกับขุนนางคนอื่นๆ ได้ แล้วมันจะไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงกัน”

“เรื่องนั้นแน่นอนว่า…”

“คิดว่าเจ้านั่นมันจะเทียบชั้นข้าได้หรือไง”

ดิวอิจ อังเกนัสปิดปากเงียบแทนคำตอบ

เพราะแววตาของอาสทาน่าที่หันมามองหน้าเขา มันกำลังส่องประกายข่มขู่อย่างโหดเหี้ยม

นัยน์ตาราวกับนักล่าอารมณ์ร้ายที่กำลังวางกับดักล่าสัตว์ให้ตกลงไปในหลุม

ในตอนนั้นเองเจ้าตระกูลบาราพอร์ทที่ลอบสังเกตอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างชาญฉลาด

“แต่ถ้าหากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งทรงพูดเกี่ยวกับประเด็นพวกนั้นได้ตรงจุด ทุกคนจะต้องเทิดทูนและเคารพพระองค์เป็นแน่ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“อืมมม… แบบนั้นก็ไม่แย่เสียทีเดียว”

อาสทาน่ากลอกตาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าอธิบายให้มันน่าเบื่อนักสิ พูดให้มันสั้นกระชับหน่อย ไอ้ประเด็นที่ว่าพวกนั้น ข้าต้องพูดยังไงบ้าง”

อาสทาน่าคิดเพียงแค่จะจดจำคำตอบที่ถูกต้อง แล้วเอาไปพูดต่อทั้งแบบนั้นโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากความ

ดิวอิจ อังเกนัสที่คิดจะใช้โอกาสนี้สอนเรื่องการเมืองให้แก่อาสทาน่า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ

“…ในการประชุมใหญ่คราวนี้ เรื่องที่จะกลายเป็นประเด็นหลักน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเส้นทางการค้าฝั่งตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ”

“ตะวันออกอีกแล้ว”

อาสทาน่าเอ่ยถามด้วยความรำคาญ

“พวกตะวันออกนี่มีปัญหาทุกรอบเลยจริงๆ ต้องมีเรื่องไม่พอใจมันตลอด!”

“เพราะจนถึงเมื่อหลายยุคสมัยที่ผ่านมา พวกเขายังเป็นแคว้นอิสระ เลยเป็นเขตแดนที่ยังมีอะไรให้ต้องจัดการดูแลอยู่อีกมากพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างในปัจจุบันเส้นทางเดินเท้าที่เชื่อมต่อไปยังตะวันออกก็ห่างไกลนัก ทั้งยังต้องผ่านภูเขาหลายลูกอย่างยากลำบากการค้าขายจึงเป็นไปได้ไม่ราบรื่นนักพ่ะย่ะค่ะ”

“หึ! ถ้าอย่างนั้นก็ควรที่จะพยายามปรับตัวเข้ากับอาณาจักรให้ได้สิ แต่นี่คนพวกนั้นกลับโลภมากเสียทุกครา”

“จุดที่ทางอังเกนัสจะเป็นคนกล่าวถึงก็คือเรื่องนี้นี่แหละพ่ะย่ะค่ะ”

“โฮ่ว งั้นหรือ”

“ทางตะวันออกได้พยายามเพิ่มการค้าขายกับทางภาคกลางให้มากขึ้น เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตามรับสั่งของราชวงศ์ก็จริง แต่ปัญหาคือ เส้นทางการค้ามันลำบากมาก ทำให้พวกพ่อค้าทั้งหลายเพิ่มราคาสินค้าให้สูงขึ้นเวลาค้าขายกับทางตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วที่พวกนั้นต้องการคืออะไร”

“ต่อจากนี้ตลอด 10 ปี พวกเขาต้องการให้ราชวงศ์มอบเงินสนับสนุนให้ทางตะวันออกทุกปีพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจอธิบายเสียงเรียบ แต่อาสทาน่ากลับไม่พอใจ

“ไม่ต่างกับหัวขโมยเลยสักนิด!”

“เส้นทางการค้าที่ยากลำบากในอาณาจักรไม่ได้มีแต่เฉพาะภาคตะวันออกเสียหน่อย มันเป็นข้อเรียกร้องที่เห็นแก่ตัวเกินไป เพื่อที่จะเดินทางไปให้ถึงทางเหนือ ก็จำเป็นต้องเดินทางข้ามผ่านเทือกเขาอย่างยากลำบากไม่ต่างจากทางตะวันออกไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าตระกูลบาราพอร์ทเอ่ยเสริมจากด้านข้าง

“อืม…”

ใบหน้าของอาสทาน่าเหลอหลาไปหมด คล้ายกับเพียงแค่นี้ข้อมูลก็แน่นเต็มหัว ทำให้เขาสับสนไม่เข้าใจเสียแล้ว

เพราะอย่างนั้นดิวอิจ อังเกนัสจึงพยายามปรับเปลี่ยนคำพูดให้เรื่องมันดูเรียบง่ายและฟังเข้าใจได้ง่ายที่สุด

“สำหรับเจ้าชายแล้ว เพียงแค่พระองค์ชี้ประเด็นที่เจ้าตระกูลบาราพอร์ทกล่าวเมื่อครู่นี้ แล้วตรัสว่า ‘สวัสดิการสำหรับตะวันออกมีมากพอแล้ว เงินทุนช่วยเหลือทางด้านการค้าสมควรมอบให้ทางฝั่งเหนือถึงจะถูกต้อง’ ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำไมต้องส่งให้ทางเหนือแทนล่ะ ไม่ใช่ว่าจะเป็นศัตรูกับทางตะวันออกเพราะเรื่องครั้งนี้ไม่ได้หรอกหรือ”

“ในสังคมการเมืองมีหลายครั้งที่จำเป็นต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ เวลาแบบนั้นจำเป็นต้องเลือกอยู่ข้างพันธมิตรถึงจะถูกต้อง อังเกนัสของพวกเราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากไอบันทางเหนือ เพื่อการพัฒนาเขตแดน ดังนั้นครั้งนี้จึงต้องเลือกถือข้างฝ่ายเหนือพ่ะย่ะค่ะ”

“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันเองก็จะเข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งนี้ด้วย รักษาหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ย่อมเป็นโอกาสที่ดีต่อพวกเราแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจกับเจ้าตระกูลบาราพอร์ทผลัดกันอธิบาย

“งั้นทางตะวันออกล่ะ ได้ยินว่าข้าต้องได้รับความเห็นชอบจากตระกูลตัวแทนในทุกภาค เพื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทนี่”

“สำหรับคนพวกนั้นเอาไว้ค่อยจัดการผ่านเรื่องอื่นครั้งหน้าก็ได้พ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างพวกนั้นอยู่กันแบบสังคมปิด ไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องในภาคกลางกันอยู่แล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างการแต่งตั้งองค์รัชทายาทละก็ ย่อมต้องคล้อยตามความเห็นของฝ่าบาทกับภาคอื่นอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“งั้นก็ดี”

อาสทาน่ายักไหล่ไม่แยแสก่อนจะเอ่ยว่า

“งั้นก็จบแล้วใช่มั้ย”

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ยังเหลือฎีกาสำคัญอีกหลายประเด็น…”

“รู้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็พอแล้ว!”

“ไม่พ่ะย่ะค่ะ คราวนี้เจ้าชายต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าเหนื่อยแล้วพวกกระหม่อมจะมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

พรุ่งนี้ก็ยังต้องมานั่งฟังเรื่องบ้าๆ พวกนี้อีกเหรอเนี่ย

เจ้าตระกูลบาราพอร์ทมีสีหน้านิ่งขึงเมื่อได้ฟังคำพูดของดิวอิจ อังเกนัส แต่ก็ยังยืนปิดปากเงียบอยู่นิ่งๆ ไม่ท้วงติง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]