เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

เช้าวันต่อมา

งานเปิดตัวกิจการไปรษณีย์จบลงอย่างประสบความสำเร็จ

“ยินดีด้วยนะครับ ท่านฟีเรนเทีย!”

เครย์ลีบันยิ้มกว้างพลางเอ่ยขึ้นว่า

“คนลงทะเบียนใช้บริการไปรษณีย์ก็กำลังหลั่งไหลเข้ามา ยอดขายของร้านค้าเพลเลสเองก็กำลังเพิ่มขึ้นตามไปด้วยครับ! ทางกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกับทางองค์กรทุนการศึกษาเองก็เหมือนกันครับ!”

เครย์ลีบันแทบจะไม่เคยแสดงความรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้ออกมาให้เห็นมาก่อน ท่าทางดูตื่นเต้นมากเสียจนเอาแต่พูดอย่างกระตือรือร้นไม่ยอมหยุดปากเลยทีเดียว

“งานเปิดตัวกิจการในแถบนอกเมืองที่จะจัดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์หน้าเองก็สำคัญมากเลย ข้าขอฝากด้วยนะคะ พวกเขาน่าจะใช้บริการกิจการไปรษณีย์มากกว่าพวกชนชั้นสูงในภาคกลางอีกค่ะ”

เครย์ลีบันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

“ระยะเวลาทดลองฟรีตลอดหนึ่งเดือนข้างหน้านี่ จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการตัดสินความสำเร็จของกิจการค่ะ ทางร้านค้าเพลเลสก็ช่วยจัดเตรียมสินค้าตามคำสั่งซื้อที่เข้ามาทางไปรษณีย์ด้วยค่ะ มาพยายามด้วยกันอย่างแข็งขันต่อนะคะ”

“ครับ ท่านฟีเรนเทีย พวกพนักงานของกลุ่มคมนาคมลอมบาร์เดียที่เป็นผู้สนับสนุนหลักเองก็ทำงานกันได้ดีมาก เรื่องนี้วางใจได้เลยครับ”

“ทุกคนคงจะเก็บกดเพราะที่ผ่านมาถูกเมินเฉยดูถูกมาตลอดนั่นแหละ คราวนี้เลยเหมือนได้ระบายอารมณ์ออกมาน่ะค่ะ”

หากงานครั้งนี้ต้องใช้เครือข่ายแรงงานไร้ประสบการณ์แล้วละก็ กว่าพวกเขาจะคุ้นเคยกับงานดีคงกินเวลานานยิ่งนัก

แต่พนักงานของกลุ่มคมนาคมลอมบาร์เดียกลับทำงานปกติของพวกเขาและงานของไปรษณีย์ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไม่มีติดขัด

“ต้องเพิ่มเงินเดือนให้แล้วสินะเนี่ย”

ความสามารถในการจัดการงานได้อย่างยอดเยี่ยมแบบนี้ สมควรที่จะต้องรักษาเอาไว้ให้พวกเขาทุ่มเทเพื่อกิจการต่อไปไม่ใช่หรือไง

“ปฏิกิริยาของคนภายในลอมบาร์เดียเป็นยังไงบ้างครับ”

เครย์ลีบันถามเธออย่างระมัดระวัง

“ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรค่ะ ดูเหมือนทุกคนคิดจะจับตาดูก่อนว่ากิจการไปรษณีย์จะครองตลาดได้ยังไง หาเงินได้มากแค่ไหน”

และถึงตอนนั้นก็คงจะตกใจกันจนหงายหลังล้มตึงไปเลยละ

“เพราะแทบจะไม่มีกิจการไหนสามารถสร้างผลกำไรจำนวนมหาศาล แต่ใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อย เท่ากับกิจการขนส่งเช่นนี้อีกแล้วสินะครับ ขอแค่พวกเราครองตลาดได้เท่านั้น”

มองจากตอนเตรียมกิจการไปรษณีย์ในครั้งนี้ก็สามารถรู้ได้แล้ว นอกจากค่าใช้จ่ายในการที่ลอมบาร์เดียจะต้องซื้อรถม้าขนสินค้าเพิ่ม กับค่าจ้างคนงานก็ไม่ต้องจ่ายค่าอะไรอีก

“และเมื่อกิจการไปรษณีย์ครองตลาดได้ จนคะแนนประเมินในตัวข้าเพิ่มสูงขึ้น ข้าก็จะประกาศกิจการถัดไปค่ะทำเช่นนั้นไปทีละน้อยแต่สม่ำเสมอ สักวันในที่ประชุมบรรดาเจ้าตระกูลใต้บังคับบัญชาก็จะเริ่มพูดถึงนามของข้าขึ้นมาเองค่ะ”

แค่จินตนาการก็สนุกจนหลุดยิ้มอยู่เรื่อย

“ว่า ‘ฟีเรนเทียเองก็ไม่เลวนักที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล’ ”

อีกไม่นานชานาเนสจะประกาศถอนตัวจากการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอด

เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า พวกตระกูลใต้บังคับบัญชาของลอมบาร์เดียที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังเหล่านั้น ระหว่างเบเจอร์กับเธอที่เปิดตัวกิจการได้อย่างประสบความสำเร็จ และพิสูจน์ความสามารถให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดแจ้ง พวกเขาจะตัดสินใจเลือกใคร

“อยากให้วันนั้นมาถึงไวๆ จังครับ”

เครย์ลีบันกับเธอมองหน้ากันยิ้มๆ

ครืน

ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังขึ้น

ซ่าาาา

และเสียงสายฝนเทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่วก็ดังตามมา

“ฝนตกหนักเลยนะครับ”

เครย์ลีบันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีแต่เมฆครึ้มพลางเอ่ยขึ้น

“ก่อนจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง ยังต้องเผชิญกับฤดูฝนสั้นๆ ก่อน แต่ไม่นึกเลยว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้”

ผู้คนในภาคกลางอาจจะยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่พายุฝนพัดกระหน่ำแบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทางเหนือมาแล้วหลายวัน

เวลาที่ ‘เรื่องนั้น’ จะเกิดขึ้นมาถึงแล้ว

“จดหมายที่ข้าส่งไป ถึงไวโอเล็ตเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”

“ครับ ตรวจเช็กแล้วครับว่าถึงมือผู้รับเรียบร้อย”

ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

เครย์ลีบันมองสำรวจสีหน้าของเธอก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าน่ะ”

เรื่องที่เธอสามารถทำได้เพื่อรับมือกับ ‘เรื่องนั้น’ เธอก็ทำมันไปทั้งหมดแล้ว

แต่ถึงยังไงก็ยังคงไม่อาจละสายตาออกไปจากหน้าต่าง ที่สายฝนเม็ดใหญ่ตกลงมากระทบได้ง่ายๆ เลย

* * *

“ต้องดื่มเหล้าเสียหน่อย”

อาสทาน่าหยุดอยู่ตรงหน้าประตูของห้องรับรองที่เชื่อมต่อกับห้องประชุมใหญ่ เขากวักมือเรียกผู้ดูแลเมื่อไม่อาจเอาชนะความตื่นเต้นได้

สุดท้ายก็ต้องกระดกเหล้าฤทธิ์แรงลงคอไปหนึ่งแก้วถึงจะพอสงบลงได้บ้าง

ราวกับเป็นการยืนยันว่าฎีกาในวันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากจริงๆ เพราะมีขุนนางจำนวนมากกว่าการประชุมใหญ่คราวก่อนถึงสามเท่าตัวมาร่วมการประชุมอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ละก็…”

เมื่อวานเขาคงไม่ไปงานเปิดตัวกิจการนั่น แล้วตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมไปแล้ว

อาสทาน่าเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลัง แต่ยังไงมันก็สายไปแล้ว

“เป็นเพราะท่านนั่นแหละที่ผลักภาระให้ข้าเยอะเกินไป!”

อาสทาน่าระบายอารมณ์ใส่ดิวอิจที่นั่งอยู่ข้างๆ

“…ใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ดิวอิจคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ดีอยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ

แต่อาสทาน่าไม่แม้แต่จะได้ยินคำพูดนั่น ตอนนี้เขากำลังจะยกนิ้วขึ้นมากัดแทะเล็บแก้เครียด

แต่แล้วในตอนนั้นเอง ประตูอีกด้านของห้องรับรองก็เปิดออก ก่อนที่เฟเรสจะเดินเข้ามา

ตึก ตึก

ขาเรียวยาวก้าวเดินตรงเข้ามา ไม่มีทั้งความกังวลและความกระวนกระวายใดๆ ให้เห็น

เฟเรสไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูที่เชื่อมกับห้องประชุมใหญ่เช่นเดียวกันกับอาสทาน่า

“น่าสมเพช”

จู่ๆ เฟเรสก็เอ่ยปากไปทางอาสทาน่า

“ว่าไงนะ”

อาสทาน่าหันไปจ้องเฟเรสเขม็ง

และในตอนนั้นเอง ประตูห้องประชุมก็พลันเปิดออกกว้างพอดี เฟเรสจึงก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปข้างในทันที

“ให้ตายเถอะ”

อาสทาน่าเองก็เริ่มก้าวตามไปทั้งๆ ที่ในใจแทบอยากกรีดร้อง มันสายไปแล้ว แถมเขาเองยังตัวเตี้ยกว่าเฟเรสมาก จึงเดินตามอีกฝ่ายไม่ทัน

สุดท้ายอาสทาน่าก็ได้แต่เดินตามหลังเฟเรสเข้าไปในห้องประชุมที่มีขุนนางมากมายนั่งกันเต็มแน่นห้อง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]