เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

ตอนที่ 139

ณ สำนักงานกิจการก่อสร้างลอมบาร์เดียซึ่งมีตระกูลวิลเคย์เป็นผู้บริหารจัดการ

เลอมาเบาว์ วิลเคย์ อายุได้สี่สิบปี ถือว่ามีอายุค่อนข้างน้อยในหมู่เจ้าตระกูล เขากำลังสนทนาอยู่กับคลังก์ เดวอนที่ปกติแล้วสนิทสนมใกล้ชิดกันดี

“ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ท่านเป็นอัจฉริยะจริงๆ”

คลังก์เอ่ยตอบคำถามของเลอมาเบาว์ด้วยใบหน้านิ่งขรึมเหมือนก้อนหิน

“รู้มั้ยว่าตอนที่เตรียมงานคราวนี้น่ะ เกิดเรื่องยุ่งยากอะไรขึ้นมากมายเลยละ แต่ท่านฟีเรนเทีย…”

“ก็ได้ยินคนเขาพูดกันอยู่หรอกว่าฉลาดมาตั้งแต่เด็ก”

“ท่านนั้นอยู่คนละระดับกับคำว่า ‘ฉลาด’ ไปแล้วละมั้ง ให้ตายเถอะ ดูแค่ที่คิดเรื่องไปรษณีย์นั่นออกมาได้ ก็รู้ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ก็นั่นน่ะสิ”

“แต่อาวุธที่แท้จริงของท่านไม่ใช่สมองอันชาญฉลาดหรอก”

“ถ้างั้น”

“ว่าไงดีล่ะ คล้ายกับมีนัยน์ตามองภาพที่ใหญ่กว่าที่คนทั่วไปจะสามารถมองได้หรือเปล่านะ”

คลังก์ได้แต่สาปแช่งความสามารถในการสื่อความรู้สึกของตัวเอง เพราะเขาไม่อาจจะเรียบเรียงคำพูดอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงออกไปได้อย่างเหมาะสม

แต่ดูเหมือนเลอมาเบาว์จะเข้าใจได้ว่า คำพูดของเขานั้นมีความหมายว่ายังไง

“คนที่มองไม่เห็นป่ากว้างใหญ่ เอาแต่มองเฉพาะต้นไม้ตรงหน้า มีแต่จะทำให้คนอื่นๆ ที่เดินตามหลังต้องหมดหนทางหาทางออกไม่เจอไปด้วย”

“ใช่แล้ว!นั่นแหละที่ข้าต้องการจะพูด! ทำงานกับท่านฟีเรนเทีย ร่างกายอาจจะเหนื่อยล้าก็จริง แต่ใจมันสบายมากเลยละ!”

คลังก์ตบเข่าเสียงดังฉาด พลางเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าเองก็ถามท่านนะว่า ทำไมไม่ใช้อำนาจของทายาทออกคำสั่งข้ามาเลย แต่กลับเกลี้ยกล่อมขอให้ข้ายอมร่วมมือด้วย ตอนนั้นท่านฟีเรนเทียกล่าวกับข้าแบบนี้”

คลังก์มีสีหน้าราวกับกำลังเพ้อฝันไปไกล

“ข้ามีวิธีมากมายในการพัฒนาลอมบาร์เดีย ข้าไม่อยากให้ตระกูลที่ฝืนใจไม่อยากทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จไปด้วยหรอก”

คลังก์ครุ่นคิดถึงความทรงจำจากเรื่องราวในวันนั้น เพียงไม่นานก็ระเบิดหัวเราะฮ่าๆๆ ออกมาเสียงดังลั่น

“คุณหนูฟีเรนเทียเท่มากเลยไม่ใช่หรือ!”

เลอมาเบาว์มองคลังก์ที่ฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนที่ไม่ต้องกังวลเรื่องใดในโลกนี้ทั้งสิ้น แล้วก็ได้แต่รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา

ใครกันล่ะที่ต้องลำบากขนาดนี้เพราะต้องเข้ามาพัวพันกับเบเจอร์ ใครกันล่ะ

ถึงแม้จะสนิทสนมกันมานาน แต่ตอนนี้เขาเกลียดท่าทางของคลังก์เสียจริง

เขาเกลียดเบเจอร์ที่จู่ๆ ก็ดันใช้อำนาจเข้ามายุ่งกับกิจการก่อสร้างลอมบาร์เดียมากถึงขนาดนั้น

เดิมทีเบเจอร์ก็รับผิดชอบดูแลกิจการอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลอยู่แล้ว เขาเองก็เคยคาดการณ์เอาไว้บ้างเหมือนกันว่าสักวันอาจจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ได้ แต่ว่า

“เฮ้อ…”

สุดท้ายเลอมาเบาว์ วิลเคย์ก็ได้แต่พ่นลมหายใจเสียงหนักอึ้งออกมา

ในตอนนั้นเองใครบางคนก็เปิดประตูห้องทำงานออก ก่อนจะเดินพรวดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต

“ตอนนี้งานที่ต้องทำมีกองท่วมเท่าภูเขา แต่กลับมีเวลามานั่งพูดคุยกันแบบนี้อีกหรือ”

เบเจอร์ขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งตึง

เดิมทีก็ไม่เคยมีสีหน้าดีเท่าไหร่นักหรอก แต่วันนี้เหมือนยิ่งดูอารมณ์เสียมากกว่าเดิม

เหตุผลนั่นก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว

คงจะเจ็บใจที่เห็นความสำเร็จของฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียนั่นแหละ

“มาแล้วหรือครับ ท่านเบเจอร์”

คลังก์ เดวอนเองก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง กล่าวทักทายอีกฝ่ายทันที แต่เบเจอร์กลับเมินเฉย ทั้งยังจงใจเดินชนไหล่เขาไปหาเลอมาเบาว์ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“มีเรื่องจะประชุม ไปเรียกพวกผู้บริหารทั้งหมดมา”

การเรียกตัวผู้คนที่ทำงานกันเป็นปกติได้ราบรื่นดีมานั่งประชุม เป็นเรื่องที่น่ารำคาญทั้งยังมีแต่จะยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานตกต่ำลงเปล่าๆ

“…ครับ ทราบแล้วครับ”

เลอมาเบาว์ วิลเคย์กลืนคำพูดที่ขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลูกกระเดือกกลับลงคอ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป

* * *

เฟเรสนั่งลงบนเก้าอี้ข้างองค์จักรพรรดิ เฝ้ารอการประชุมเริ่มต้นขึ้น แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับโนเชียร์วันนี้ขึ้นมา

มันเป็นบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันก่อนเดินทางมาร่วมประชุมวันนี้

“เพิ่มราคาต้นทรีบ้าขึ้นอีก”

“อีกครั้งหรือ…เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะเพิ่มราคาไป ไม่รู้ว่าทางอังเกนัสจะยอมคล้อยตามหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

โนเชียร์กล่าวอย่างเป็นกังวล แต่เฟเรสกลับส่ายหน้า

พวกนั้นได้ลงทุนเงินจำนวนมหาศาลในการกว้านซื้อต้นทรีบ้าไปแล้ว

ถ้าจะหยุดกว้านซื้อเพียงเท่านี้ย่อมไม่ต่างอันใดจากการทำให้โครงการทั้งหมดสูญสิ้น

ในเมื่อไม่มีท่อนไม้ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุด การก่อสร้างก็จะหยุดชะงัก อังเกนัสก็มีแต่จะต้องสูญเงินจำนวนมหาศาลไปอย่างเปล่าประโยชน์

เมื่อไม่นานมานี้จักรพรรดินีราวีนี่ถึงกับจ้างกลุ่มก่อสร้างลอมบาร์เดียให้มาช่วยจัดการงานให้ นางย่อมไม่มีทางยอมหยุดแค่นี้แน่

ราคาระดับนี้เขาเชื่อว่าพวกนั้นจะต้องยอมจ่าย

แต่แล้วจู่ๆ เฟเรสก็นึกสงสัยขึ้นมา

“ร้านค้าเพลเลสล่ะ ขายต้นทรีบ้าไปมากแค่ไหน”

ในอาณาจักรจะแบ่งเป็นสามเจ้าใหญ่ๆ ที่ครอบครองต้นทรีบ้าอยู่ในตอนนี้

กลุ่มแรกคือ ตระกูลไอบันซึ่งส่งออกต้นทรีบ้าอยู่เป็นประจำ

กลุ่มที่สองคือ กลุ่มการค้าโมนัคของเฟเรส

และกลุ่มสุดท้ายคือ ร้านค้าเพลเลส

ถ้าคิดคำนวณจากจำนวนต้นทรีบ้าที่เก็บไว้ในโกดังแล้วละก็ ในบรรดากลุ่มเหล่านั้นร้านค้าเพลเลสเป็นกลุ่มที่เก็บสำรองท่อนไม้เอาไว้มากที่สุด

เพราะตระกูลไอบันจะปลูกต้นทรีบ้าในเขตแดนของตัวเอง แล้วจัดการตัดมันเป็นท่อน ส่งออกไปยังเขตแดนอื่นเสียส่วนใหญ่

กว่าจะตัดไม้ผึ่งจนแห้ง จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก

แต่เทียบกับทางนั้นแล้ว ร้านค้าเพลเลสนั้นแตกต่างออกไป

พวกนั้นกว้านซื้อต้นทรีบ้ามาได้สักพักแล้ว จึงครอบครองท่อนไม้ที่ถูกตัดแต่งพร้อมใช้งานในปริมาณมากพอสมควร

ร้านค้าเพลเลสที่ครอบครองต้นทรีบ้าไม่ยอมขายออกไป ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นทำให้เขาชักอยากรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่าพวกเขาจะขายให้อังเกนัสไปมากแค่ไหน

“ร้านค้าเพลเลส… ยังไม่ได้ขายออกไปแม้แต่ชิ้นเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

“…ว่าไงนะ”

นัยน์ตาของเฟเรสหรี่ลง

แปลก มันมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ตระกูลอังเกนัสปรากฏตัวขึ้น บอกจะซื้อท่อนไม้ทั้งหมดที่ได้แต่เก็บไว้ในโกดังเสียค่าจัดการดูแลไปเปล่าๆ นั่นในคราวเดียวด้วยราคาที่สูงมาก

ดังนั้นพวกเขาเองก็สมควรที่จะขายให้แก่อังเกนัสถึงจะเป็นแค่ปริมาณน้อยเหมือนอย่างกลุ่มการค้าโมนัคก็ตาม

นั่นถึงจะเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสม

“ไม่เลยสักท่อน”

เฟเรสถามย้ำ

“พ่ะย่ะค่ะ ไม่เลย ประตูโกดังไม่แม้แต่จะเปิดออกด้วยซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสนึกถึงเครย์ลีบันที่ได้พบในงานเลี้ยงวันเกิดของเทียเมื่อคราวก่อน

ประธานหรือเจ้าของร้านค้าเพลเลส ชายผู้ดูเฉียบขาดคนนั้น

จากที่เขาสั่งให้ริกนีเต้ไปสืบมาให้ เครย์ลีบันคนนี้เป็นคนใจเย็น แต่ก็เป็นพ่อค้าประเภทที่ตัดสินใจอะไรได้ฉับไว

ไม่รู้ว่าเกิดมาพร้อมความสามารถในการค้าขายหรือยังไง ทุกการค้าที่ชายคนนี้ยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว มักจะประสบความสำเร็จไปเสียทุกกิจการ

และจุดที่เหมือนกันของกิจการพวกนั้นก็คือ การลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาล และการดึงเท้าถอยกลับออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม

“แปลก คนเช่นนั้นทำไมถึงได้ทำแบบนั้นกัน”

ทำไมถึงได้ยังกอดรั้งต้นทรีบ้าเอาไว้อย่างโง่เขลาเช่นนั้น

หรือยังมีจุดประสงค์อื่นในการเก็บรวบรวมต้นทรีบ้านั่นเอาไว้กันแน่

หรือว่าเครย์ลีบัน เพลเลส ไม่ใช่คนที่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง

ยามที่คิดไปถึงจุดนั้น เฟเรสก็ต้องส่ายหน้า

ร้านค้าเพลเลสตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน เป็นการค้าของเครย์ลีบัน เพลเลสเพียงผู้เดียว

ไม่มีร่องรอยว่าเคยได้รับเงินลงทุนมหาศาลจากใครแม้แต่คนเดียว

“ก่อนอื่นเพิ่มราคาไปก่อน แล้วคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของร้านค้าเพลเลสด้วย ถ้าพวกเขาเริ่มขายให้ทางนั้น ให้รายงานข้าทันที”

“พ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะทำตามที่พระองค์รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

นั่นคือบทสนทนาที่พูดคุยกันเมื่อช่วงเช้า

“งั้นก็เริ่มการประชุมกันได้แล้ว”

เสียงของจักรพรรดิโยบาเนสทำให้เฟเรสพับเก็บความสงสัยเกี่ยวกับร้านค้าเพลเลสไปก่อน

และในตอนนั้นเอง ประตูห้องประชุมใหญ่ที่ปิดแน่นก็เปิดออกพร้อมกับคนสองคนที่เดินเข้ามาข้างใน

พวกเขามีผิวค่อนข้างคล้ำ เรือนผมสีบลอนด์แพลทินัมสว่าง และสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสเป็นที่น่าจับตามอง

“ตระกูลรูมัน…?”

“ดูเหมือนจะเป็นอินดิท รูมันเจ้าตระกูลกับบุตรชายนะ”

“พวกตะวันออกบ้านนอกนั่นมาร่วมการประชุมงั้นหรือ แปลกเสียจริง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]